เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
---------------------------------------------------------------------
After the main event : Intrusion
Lehm Leisel
#3136
by น้องมี่
" นาวาอากาศตรีซาคอน เซฟิรอส"
" เรืออากาศโทอัลคอร์ มิซาร์ เอลิเชีย "
"......เราขอไว้อาลัยให้แก่ทหารกล้าผู้จากไป......"
ทิวแถวสีขาวและแดงอันเกิดจากมนุษย์นับพันจัดวางตัวอย่างเป็นระเบียบบนพื้นราบ
เสียงของแตรดังก้องสะท้อนตามหลังถ้อยคำสละสลวยไว้อาลัย
มือขวาของผู้มีชีวิตวันทยาหัตถ์ภายใต้แสงอาทิตย์แรงกล้าแด่โลงศพของพวกพ้อง
หนึ่งเพื่อเคารพ
สองเพื่อรำลึก
สามเพื่อตอกย้ำถึงความจริงที่อาจถูกหลงลืมไป
ว่าสงครามที่ไร้ความสูญเสียอันใดย่อมไม่มี
[13/02/1028 : 2.34 PM : FROZENHYDE]
'200 เมตรจากที่หมายตามพิกัด'
"ผมถือไรเฟิลได้แล้วนะ "
"โฮ่.....ถือไหวแล้ว? "
"โฮ่.....ถือไหวแล้ว? "
'ลดระดับเพดานบิน'
"รอก่อนทหาร อีกไม่กี่วันชั้นจะเป็นเศรษฐี"
"กี่วันล่ะเรือโท"
"6วัน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงจะพาแกไปเลี้ยงชุดใหญ่ หึหึ"
"ข้าจะรอก็แล้วกัน"
'นับถอยหลังเพื่อลงจอด'
"เหล้าได้ ก็น่าจะดื่มน้ำอย่างอื่นได้?"
" กินแต่น้ำจะโตได้ยังไงกัน แต่เจ้านี่ไม่เห็นมีปาก "
" ถ้างั้นน่าลองให้พวกอาหารเหลวดูไหม?"
"ข้าวโอ๊ตต้ม? "
"แต่คงต้องบดละเอียดๆ"
" กินแต่น้ำจะโตได้ยังไงกัน แต่เจ้านี่ไม่เห็นมีปาก "
" ถ้างั้นน่าลองให้พวกอาหารเหลวดูไหม?"
"ข้าวโอ๊ตต้ม? "
"แต่คงต้องบดละเอียดๆ"
'3'
"ข้ายังไม่เคยเห็นตอนเรือโทถูกรางวัล"
"ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่เคยถูก เพราะมันยาก ถึงได้ท้าทาย เพราะท้าทาย ถึงสนุก"
"เพราะสนุกจึงถูกกิน "
"ไปวิ่งรอบสนาม100รอบไป!!"
'2'
"ดึกแล้ว ถ้าคุณไม่ได้อยู่เวรกะนี้ก็ไปพักผ่อนเอาแรงก่อนเถอะ"
"อีกสามสิบนาทีข้าจะผลัดเวร เจ้าเองก็พักผ่อนให้ดี โชคดีอัลคอร์"
'1'
"ที่คุณเคยบอกผมว่าอย่าตาย ... ผมเอง ก็ไม่อยากให้คุณตายเหมือนกัน .. "
'การลงจอดเสร็จสิ้น'
และข้าก็ไม่ใช่คนที่ตาย
รองเท้าบูทหนาหนักย่ำลงบนพื้นหิมะสีขาวที่ยังคงปกคลุมบริเวณอยู่ตลอดทั้งปีทั้งชาติไม่เคยเปลี่ยน มันจมลึกลงไปเล็กน้อยทิ้งรอยบ่งบอกถึงการถูกรุกรานดินแดนจากสิ่งมีชีวิตที่มีน้อยนักในพื้นที่แถบนี้ ชายชุดดำไม่สนใจในเรื่องนั้น เขาลากเครื่องยนต์ที่ทิ้งรอยทางยาวลึกกว่าไปยังบริเวณที่หิมะถูกกวาดออกเสียจนเบาบาง จัดขาตั้งของมอร์เตอร์ไบค์ให้เข้าที่ ตรวจสภาพให้แน่ใจว่าพาหนะประจำตัวทรงตัวได้อย่างเหมาะสม ก่อนจะสาวเท้าที่มีเพียงสองเท้าไปยังประตูบ้าน
บานไม้สีน้ำตาลเข้มเหวี่ยงเปิดออกเฉียดตัวไปเพียงนิดเดียว ตามมาด้วยควันสีเทาที่ลอยมากระทบใบหน้า
"หลังจากพายุหิมะ ก็เป็นเจ้าที่มาเคาะประตูบ้านข้างั้นเหรอไอ้หนุ่มไลเซล"
น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยจากเจ้าบ้านที่ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม กลิ่นยาเส้นฉุนๆลอยอ้อยอิ่งพร้อมควันจากไปป์ที่เจ้าตัวถือกลิ้งไปมาอยู่ในมือ
"ข้ายังไม่ได้เคาะประตู"
เลห์ม ไลเซลเอ่ยตอบ เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากชายสูงวัย ก่อนคนที่ดูหนุ่มกว่าจะแทรกตัวเดินเข้าไปด้านในบ้านโดยไม่รอคำเชิญจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด
กลิ่นยาเส้นผสมผสานกับกลิ่นกาแฟให้ฆานสัมผัสประหลาดภายในผนังอิฐสีเทา ไฟจากเตาผิงลุกโชน ช่วยให้อุณหภูมิที่เหน็บหนาวจากสายลมภายนอกเพิ่มสูงขึ้นพอที่จะไม่โหดร้ายเกินไปนักเมื่อถอดเสื้อโค้ทหนาออกจากตัว
เลห์มวางถุงกระดาษที่ถือติดมือมาไว้บนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ไม้เก่าๆที่อยู่ข้างกัน ขณะที่เจ้าบ้านขโยกเขยกกลับไปลับสายตาทางตู้ด้านหลัง ครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมแก้วสังกะสีใบใหญ่สองใบและจานขนมปังสีน้ำตาลแก่ก้อนนึง
เลห์มวางถุงกระดาษที่ถือติดมือมาไว้บนโต๊ะ ทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ไม้เก่าๆที่อยู่ข้างกัน ขณะที่เจ้าบ้านขโยกเขยกกลับไปลับสายตาทางตู้ด้านหลัง ครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมแก้วสังกะสีใบใหญ่สองใบและจานขนมปังสีน้ำตาลแก่ก้อนนึง
เสียงก้อก ก้อกจากขาเทียมไม้ของอีกฝ่ายกระทบพื้นดังสม่ำเสมอราวกับจังหวะจากเข็มนาฬิกา เขารอจนชายสูงวัยนั่งลงบนเก้าอี้ที่โกโรโกโสพอกัน มือยื่นแก้วมาให้ จึงได้รับมันมาพร้อมขมวดคิ้ว เอ่ยปากถามสิ่งที่สังเกตเห็นแต่แรกจนกลิ่นแรงๆของแอลกอฮอล์เป็นคำตอบของเครื่องดื่มที่ไม่ขึ้นไอ
"คราวนี้ไม่ใช่โกโก้ร้อน?"
เขาคงไม่จำเป็นต้องถาม ถ้ามันจะไม่ใช่เครื่องดื่มชนิดเดียวที่อีกฝ่ายจงใจเสิร์ฟให้ในการมาเยือนทุกครั้งไม่ว่าเขาจะพยายามประท้วงอย่างไรก็ตาม
"เหล้าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกว่าสำหรับช่วงไว้ทุกข์"
เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างเรียบง่ายพลางกระดกให้ของเหลวสีเหลืองทองในแก้วไหลลงลำคอ เขาใช้แขนเสื้อปาดเช็ดไรหนวด มองตรงมาที่แขกคนเดียวของตน ข้อความบางอย่างคงถูกส่งให้แกผ่านอวจนภาษา เสียงแหบห้าวจึงกล่าวเสริม
"ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าฉลาด ทีนี้จะเชื่อได้หรือยัง และแทนที่จะทำหน้าแบบนั้นก็ร้องไห้เสียบ้างก็ได้นะไอ้หนุ่ม ตาแก่คนนี้คงไม่มีปัญญาจะเอาไปบอกใคร"
"ความตายในสนามรบเป็นสิ่งที่ข้ารู้จักดีอยู่แล้ว" เลห์มขมวดคิ้วกล่าวแย้งคำ
ผู้ฟังหัวเราะหึหึในลำคอ หากแต่ไม่มีสำเนียงของความขบขันอยู่ภายในนั้น ริมฝีปากเหี่ยวย่นไม่ยกยิ้ม ไม่เหลือแม้แต่ความเยาะหยันที่มักปรากฎในแววตา
"มันไม่เคยง่ายขึ้นเลย เจ้าว่าจริงไหม"
...
ดวงตาสีแดงจ้องมองคู่สนทนานิ่งนาน
คำพูดหรือการกระทำใดๆแม้แต่การผงกศีรษะก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เมื่อคนตรงหน้าเองก็ผ่านมันมาจนสามารถรับรู้และเข้าใจได้เช่นเดียวกัน
"เพื่อนดีๆงั้นเหรอ?"
"เพื่อนร่วมกองทัพ"
"จากคำสาปของเจ้า?"
"ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตาย"
"ออ....งั้นก็เพื่อนที่ดี"
"หัวหน้าที่สั่งแต่อะไรไร้สาระและหมกมุ่นกับการเสี่ยงโชค ปีศาจที่กินกาแฟใส่น้ำตาลห้าช้อนน่ะเหรอ"
เขาเงียบไปพักก่อนจะผ่อนลมหายใจช้าๆ
"พวกเขาดี"
ใช่...
แต่ความดีไม่เคยปกป้องใครจากความตาย
"ตายในสนามรบคือเกียรติสูงสุดของทหาร"
"เจ้าหาคำหลอกตัวเองได้ดี"
แก้วสังกะสีถูกขยับยื่นออกมาห่างตัว เสียงแหบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นคงเป็นการเป็นงานอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำเป็น
"แด่เกียรติแห่งผู้วายชนม์"
เสียงของโลหะกระทบกันดังสะท้อนในความเงียบ ตามด้วยเหล้ารัมที่ถูกรินไหลผ่านลำคอ เพิ่มความอบอุ่นในช่วงเวลาที่เหน็บหนาวอันไม่ได้เกิดจากเพียงหิมะของฟรอเซนไฮด์
__________________________________________
'จงสรรเสริญโลหิตที่ตกต้องสนามรบ จงยกย่องทหารผู้พลีชีพในสงคราม
เพราะหากเราผู้ยืนอยู่ในสมรภูมิเดียวกันยังเห็นมันเป็นเรื่องไร้ค่า
ความตายของพวกเขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย'
---กฎตระกูลไลเซลข้อที่ 11---
__________________________________________
For the sake of the dead men
End
__________________________________________
- RIP สาคร
- RIP อัลคอร์
- เจ็บมาก เลห์มรู้จักคนไม่กี่คน ตายกันรัวๆ
- ฮือออออออออออ อยากโวยวายฟูมฟาย แต่ทั้งหมดนั่นเลห์มจะไม่ทำ
- ขอให้หลับอย่างสงบ....แล้วเจอกันใหม่.....
- คุณลุงก็แค่ NPC ที่เลห์มเทียวไล้เทียวขื่อไปหาบ่อยๆด้วยเหตุผลบางประการ
- ไลเซลแม่มบ้า.....
- ไลเซลแม่มบ้า.....
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น