หน้าเว็บ

วันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[EGot][Devine] EP1 : sub-event 3 : a bag of corn seed

เอนทรี่นี้เป็นส่วนหนึ่งของกิจกรรม



---------------------------------------------------------------

From Sub-event 03 :Devil take the Hindmost



Devine, the warrior of the north

---------------------------------------------------------------






A bag of corn seed











เสียงกุกกักดังมาจากประตูไม้ลั่นดาล  เป็นสัญญาณว่าในไม่ช้ามันจะถูกเปิดออก  และใครสักคนกำลังจะเดินเข้ามา




สำหรับพวกข้าแล้วมันเป็นเรื่องดี




ข้าขยับตัวเพียงเล็กน้อยอยู่ในที่เดิมของตนห่างจากประตูกรงเยียบเย็น  มองร่างของเพื่อนที่กระเหี้ยนกระหือรือมากกว่ารีบเบียดเสียดกันตรงไปยังพื้นที่ด้านหน้า  ตัวของพวกนั้นไม่เล็กจึงบังข้าเสียเกือบมิด  ยังดีที่พอขยับหัวนิดหน่อยก็ยังพอจะมีช่องลอดให้มองเห็นบานไม้สีน้ำตาลซึ่งเป็นทางเข้าเดียวของพวกนั้นได้บ้าง




ประตูเปิดออกแล้ว




วันนี้เขามาแค่คนเดียว




ร่างในชุดคลุมสาวเท้าเป็นจังหวะเนิบช้ามั่นคงแบบที่ทำเป็นประจำ   พวกด้านหน้าทำทีจะถอยกลับมา  แต่กลับส่งเสียงจอแจและนิ่งอยู่ที่เดิมเมื่อเห็นว่าเขาตรงเข้ามาหาพร้อมกับถุงผ้าเก่าๆสีทึบทึม  




พวกข้าล้วนรู้ดีว่าสิ่งนั้นมีความหมายเช่นไร




เขานั่งลงที่เก้าอี้ใกล้ๆกับกรงขังของพวกข้า หลังจากใช้เวลากับการจัดท่าทางอยู่ครู่หนึ่งมือก็แกะปากถุงออกและล้วงเข้าไปด้านใน   ก่อนมันจะกลับออกมายังโลกภายนอกพร้อมกับเมล็ดธัญพืชสีขาวเหลืองซีดๆเต็มกำมือ     




เขาหย่อนมันลงที่ถาดว่างเปล่าใกล้ๆ  และเลื่อนเข้ามาให้ในกรง




“กินเสีย  นี่เป็นชุดสุดท้ายที่เจ้านั่นเก็บไว้แล้ว  หลังจากนี้คงต้องปล่อยพวกเจ้าให้เป็นหน้าที่ของคนดูแล”




เสียงดังขึ้นวุ่นวายจากเบื้องหน้าข้า  เมื่อมีอาหารอยู่ใกล้เช่นนั้น พวกเขาคงไม่ได้ยินหรือไม่ใส่ใจกับคำพูดของผู้อยู่นอกกรง  แต่ข้ายังสดับฟัง..พลางเคลื่อนตัวจากที่ของตนมาใกล้ถาดอาหารอีกถาดที่ยังไม่ได้ถูกเติมเต็ม




“พวกเจ้าจะเหงาบ้างรึเปล่า ที่เจ้าหนุ่มนั่นไม่อาจมาได้อีกต่อไปแล้ว  หรือแค่เสียดายที่จะไม่ได้กินข้าวโพดดีๆ?”




เขามองตรงเข้ามาภายในกรงขัง  สบตากับข้า  ร่างสีดำสะท้อนในนัยน์ตาอันเริ่มฟ้าฟางของเขาเป็นเงาขมุกขมัวเหมือนท้องฟ้ายามค่ำคืน




‘กา’




ข้าตอบเขาด้วยภาษาเดียวที่ข้ามี  




“นั่นสินะ….  นั่นสิ…..”  




เขาพึมพำกับตนเอง  สะบัดหัวสีเทามอซอไปมา  แน่นอนว่าเขาไม่เข้าใจอะไร  ข้าขยับจัดปีกเล็กน้อยก่อนก้มลงกินอาหารที่เขาจัดไว้ให้   ข้าสนใจกับธุระของตนเพราะมีท้องหิวโหยที่จำเป็นต้องดูแล  และเลือกที่จะทอดทิ้งเสียงเขาซึ่งดูเหมือนจะเอ่ยอะไรอีกมากมายหลายคำ  




มันไม่สลักสำคัญอะไร  มนุษย์สามารถตอบคำถามของตนได้เองด้วยคำที่พวกเขาอยากได้ยิน   




เขานั่งมองพวกข้าอยู่เนิ่นนาน  เติมจานเก่าๆให้พูนด้วยเมล็ดข้าวโพดชั้นดีที่ก่อนหน้านั้นเราจะได้กินกันอาทิตย์ละครั้งก่อนอะไรบางอย่างจะเปลี่ยนไป  ถุงนั้นฟีบลง สุดท้ายก็ห่อเหี่ยวแห้งลงเหมือนกองผ้าที่ถูกทิ้งบนพื้น   เพื่อนของข้ามองมันสลับกับจานที่วางเปล่า  จากนั้นจุงพากันถอยกลับไปยังมุมของพวกตน




ข้าคาบเมล็ดข้าวโพดอันสุดท้ายกลืนลงคอเรียบร้อยจึงเงยหน้ามองเขา  มองใบหน้าเหี่ยวย่นที่เรียบเฉยอิดโรย  เขาผู้มีสีเทาเป็นสัญลักษณ์และมักมาที่แห่งนี้พร้อมหน้าที่   ในขณะที่อีกใบหน้าหนึ่งมักมาพร้อมอาหารและความเงียบงัน




มนุษย์ที่มีสีดำ




“หมดเสียแล้ว  ต่อไปพวกเจ้าคงต้องชินกับอาหารธรรมดากระมัง”  เขาส่งเสียงในลำคอ  ก่อนขยับตัวลุกขึ้นจากเก้าอี้  เขาเอียงเซเล็กน้อยด้วยไม่มีผู้ใดคอยช่วยพยุง  แต่สุดท้ายก็ยังยืนได้ด้วยสองขาตนเอง  จากนั้นจึงลากร่างสีเทาออกไปทางเดียวกับขามา




ประตูเปิดออก  ปิดลงและลั่นดาล




ข้ากระพือปีกพาร่างลอยกลับไปยังที่ของตน  พลางครุ่นคิดถึงคำพูดของมนุษย์สีเทา



















ดูเหมือนพวกข้าจะไม่มีโอกาสได้กินข้าวโพดชั้นดีเสียแล้ว




เป็นเรื่องแย่เสียจริง







End of Sub-event 3
------------------------------------------------------------------------


- เรื่องก่อนหน้านี้ให้ว่างก่อนจะเขียน.....

- คนอ่านรู้เรื่องไหมนะ ฮะ ฮะ ฮะ ฮะ

- ทำไมทุกครั้งที่เขียนดีไวน์มันต้องเป็นธีมกากะเมสเตอร์?

- มันทันด้วยอ่ะ ; w ; 

- ทำไมตัวละครตัวนี้สมควรมีชีวิตต่อ : เพราะมันเป็นถุงข้าวโพดของเหล่ากาบนหอกาวินเทอร์เฟลค่ะ.....

- ที่จริง......เพราะมันตายไปแล้ว  และมีแต่คนตายแล้วเท่านั้นที่สมควรมีชีวิตต่อไป 

- ขอบคุณทุกคนที่อยู่มาด้วยกันนะคะ


















ป.ล คำตอบนั้นมีช่องว่างระหว่างบรรทัด



วันเสาร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

[EBF][story] Fragment memories 0 // the first page of the fiction

 เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ


==========================================================




the story of the afternoon tea time

Fragment memories 0




and



the story of love which is a fairytale
The fiction

:the first page











"วันนี้ว่างไหมครับ?"





"เก็บผ้าเสร็จก็น่าจะว่างแล้ว  วันนี้ข้าไม่ใช่คนไปขายของน่ะ"






"มีโอกาสเสียทีแล้ว  ผมจะขอไปรบกวนเวลาอาหารว่างยามบ่ายเสียหน่อยแล้วกัน"




"ถ้าอย่างนั้น....ข้าจะเตรียมถ้วยชาไว้เผื่อนะ"










ผลึกสีใสกลิ้งไปมาในมือ  เขาโยนมันขึ้นเพียงเล็กน้อย  ก่อนจะแบเรียวนิ้วออกรับ  น้ำหนักแผ่วเบาของมันตกต้องผิวหนังให้สัมผัสเรียบลื่น  เขาสะบัดข้อเพื่อประคองมันไว้อย่างนุ่มนวล


มันเป็นของเล่นที่ไม่น่าสนใจชิ้นหนึ่ง


แต่มันก็เป็นความจริงเช่นกัน  ว่าของเล่นชิ้นนี้คือสิ่งที่เขาไม่อาจตัดใจวางไว้ห่างกาย  และมันถูกนับรวมเข้าเป็นส่วนหนึ่งในอุปกรณ์ที่เขาพกติดตัวอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน



แค่ลูกแก้วสีใสลูกเดียวเท่านั้นเอง






 


 







...




ผู้ที่ตายแล้วไปยังที่แห่งใดกันนะ




จากไปยังที่ห่างไกล




หรือสิงสู่เช่นอากาศไร้รูปนาม




หากแม้นยังอยู่แล้ว  จะถูกกักขังกับสิ่งแทนตัวหรือโบยบินอยู่ข้างผู้เป็นที่รัก




เธอโกรธรึเปล่านะที่จนตอนนี้ผมก็ยังแย่งชิงเธอมา




และหากเลือกได้แล้ว...เธอจะต้องการอยู่เคียงข้างผู้ใดมากกว่ากัน




จะเป็นผู้ร่วมสายเลือดที่เหลือเพียงคนสุดท้ายในโลก




หรือแค่เพื่อนที่นัดดื่มชากันคนหนึ่ง






















"หายดีแล้วเหรอครับ"



"ดีขึ้น" 

เสียงนั้นตอบพร้อมการปรากฎขึ้นของใบหน้าที่เหนื่อยหน่ายกับการปั้นยิ้ม

"หนึ่งสัปดาห์แล้ว  ขืนอยู่นานกว่านั้นสงสัยจะเป็นอัมพาตแน่ๆ"



"ใจร้ายกับพี่สาวที่น่ารักจังนะเมลเมล.....ทานเค้กไหมครับ  มีชีสเค้กบลูเบอรี่แน่ะ"



"ชากับเค้กไม่ใช่อาหารสำหรับคนสร่างไข้"  

ว่าเรียบๆเช่นนั้น  ก่อนชายหนุ่มจะลากเก้าอี้ที่ผนังห้องมานั่งข้างโต๊ะ   มือหยิบส้อมที่วางไว้ข้างจานเค้กสีม่วงสวยแล้วกดน้ำหนักมันลง



"ไหนว่าไม่ใช่อาหารคนป่วย"



"ถ้าผมไม่กิน  เอริคก็ไม่มีเพื่อนกินด้วยไม่ใช่เหรอไง?"



"นั่นสินะครับ"





 









 "เรื่องที่เราเคยคุยกัน  ผมคงต้องขอให้ช่วย"



 "ได้เวลาแล้ว?"




 "ความดีต้องรีบทำสิจริงไหม  ไม่มีใครรู้นี่นาว่าเราจะมีชีวิตอยู่ไปจนถึงเมื่อไหร่"



 "ทางนั้นมีเวลาอีกมาก  อาจจะเป็นเวลาของทั้งโลก"



 "เพราะฉะนั้นที่อาจจะไม่มีน่ะคือพวกเราไงครับ"




























หิมะหยุดตกแล้ว  ที่เหลืออยู่ก็แค่อากาศหนาวที่ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงของฟรอเซนไฮด์ 



ชายร่างสูงกระชับเสื้อโค้ทสีดำที่สวมทับอยู่  มือหอบหิ้วข้าวของหลายอย่างที่ได้จากทั้งคนที่ไปเยี่ยมเยือนและร้านเจ้าประจำ  เท้าทั้งสองทำหน้าที่พาร่างเจ้าของผ่านตามเส้นทางที่มันคุ้นเคย...จากการเทียวไปมาอยู่ร่วมสามปี



เขาหยุดยืนนิ่ง  ขมวดคิ้วเมื่อเห็นถนนซึ่งตัดผ่านทางข้างหน้าแยกออกเป็นสามทาง



ถนนเส้นนั้นเคยมีด้วยหรือ?  



เขาทบทวนความจำของตนเองพลางนึกประหลาดใจ



รองเท้าบูททหารเหยียบย่ำพื้นพร้อมความสงสัย  ตรงไปยังทางที่ความทรงจำบอกกับเขาว่ามันไม่คุ้นเคย






เขาไม่เคยเดินผ่านถนนเส้นนี้



เลห์มไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเหตุใดจึงเป็นเช่นนั้น  แต่ร้านรวงสองข้างทางนั้นแปลกใหม่เกินกว่าจะคิดได้ว่าจะสามารถเดินผ่านโดยไม่สังเกตเห็น  ..แม้แต่กับคนอย่างเขา



โดยเฉพาะเมื่อที่นี่ขายบุหรี่ถูกดีทีเดียว  




เขาเลือกที่จะก้าวต่อไปข้างหน้า  ดวงตากวาดมองสินค้ามากมายหลากหลาย  เนื้อ  ผัก  ดอกไม้  อาวุธที่เขียนแปะป้ายหน้าร้านว่าอุปกรณ์ล่าสัตว์  เหล้าและเบียร์เป็นถังๆ  ผู้คนล้วนผิดแผกไม่คุ้นตา  แต่นั่นไม่ใช่ปัญหาใหญ่โตอันใด  



คนแปลกหน้าไม่ใช่ปัญหาสำหรับเขา



เลห์มเดินด้วยอัตราเร็วสม่ำเสมอ  ก่อนที่ร่างสูงใหญ่จะหยุดเคลื่อนไหวเมื่อมาถึงแผงลอยโทรมๆที่คราคร่ำไปด้วยผู้คน 



เขาจำสัญลักษณ์นั้นได้ดี 



มือขวาที่พอจะว่างอยู่ขยับล้วงกระเป๋าเสื้อโค้ทเพื่อหยิบขวดยาสีใส และตลับสีน้ำตาลทึบเข้มออกมา  เขาได้มันมาจากตาลุงในหุบเขา  ใช้สำหรับป้องกันอากาศหนาวและกันหิมะกัดเวลาจำเป็นต้องเดินทางในสถานที่ซึ่งภูมิอากาศทารุณ  ตราที่ติดเอาไว้เหมือนกับร้านตรงหน้าไม่ผิดกัน



คงต้องซื้อเผื่อไว้อีกกระมัง



เขาเก็บของคืนที่เดิม  สาวเท้าเข้าไปใกล้ตัวร้านเพื่อต่อแถว  ใช้เวลาอยู่ครู่ใหญ่กว่าแม่ค้าจะคุยกับลูกค้าคนสุดท้ายก่อนหน้าเขาเสร็จเรียบร้อย และหันมองตรงมา



มันเป็นใบหน้าที่เขาจำฝังใจเสียยิ่งกว่าตราสัญลักษณ์อื่นใด















"แม่มด"








ชายผิวแทนเอ่ยด้วยน้ำเสียงดุดัน  เช่นเดียวกับดวงตาสีแดงของหญิงเจ้าของร้านที่เบิกกว้าง  สีหน้าเรียบเฉยนั้นแปรเปลี่ยนไป....เป็นร่องรอยที่ชัดเจนของความคับแค้นและเกลียดชัง














"ฆาตกร"

















-----------------------------------------------------------------------------------
Fragment memories 0 & the first page of  the fiction
END
-----------------------------------------------------------------------------------




ไม่ทันวาเลนไทน์อ่ะ  ช้ำใจ ; - ;







 เจอกันซะทีนะ


เฮ้อ





[EBF][Lehm] for the sake of the dead men

 เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ


---------------------------------------------------------------------

After the main event  : Intrusion




Lehm Leisel
#3136



Response to

01 : Magnitude 6
by matchavaree

by น้องมี่






" นาวาอากาศตรีซาคอน เซฟิรอส" 







"  เรืออากาศโทอัลคอร์ มิซาร์ เอลิเชีย "









"......เราขอไว้อาลัยให้แก่ทหารกล้าผู้จากไป......"







ทิวแถวสีขาวและแดงอันเกิดจากมนุษย์นับพันจัดวางตัวอย่างเป็นระเบียบบนพื้นราบ

เสียงของแตรดังก้องสะท้อนตามหลังถ้อยคำสละสลวยไว้อาลัย

มือขวาของผู้มีชีวิตวันทยาหัตถ์ภายใต้แสงอาทิตย์แรงกล้าแด่โลงศพของพวกพ้อง





หนึ่งเพื่อเคารพ 



สองเพื่อรำลึก



สามเพื่อตอกย้ำถึงความจริงที่อาจถูกหลงลืมไป












ว่าสงครามที่ไร้ความสูญเสียอันใดย่อมไม่มี
























[13/02/1028 : 2.34 PM : FROZENHYDE]








'200 เมตรจากที่หมายตามพิกัด'







"ผมถือไรเฟิลได้แล้วนะ "

"โฮ่.....ถือไหวแล้ว? " 






'ลดระดับเพดานบิน'






"รอก่อนทหาร อีกไม่กี่วันชั้นจะเป็นเศรษฐี"

"กี่วันล่ะเรือโท" 

"6วัน ถ้ามันเกิดขึ้นจริงจะพาแกไปเลี้ยงชุดใหญ่ หึหึ"

"ข้าจะรอก็แล้วกัน"







'นับถอยหลังเพื่อลงจอด'







 "เหล้าได้ ก็น่าจะดื่มน้ำอย่างอื่นได้?"

" กินแต่น้ำจะโตได้ยังไงกัน แต่เจ้านี่ไม่เห็นมีปาก "

" ถ้างั้นน่าลองให้พวกอาหารเหลวดูไหม?"


"ข้าวโอ๊ตต้ม? " 

"แต่คงต้องบดละเอียดๆ"








'3'






"ข้ายังไม่เคยเห็นตอนเรือโทถูกรางวัล"

"ไม่เคยเห็น ไม่ได้แปลว่าไม่เคยถูก เพราะมันยาก ถึงได้ท้าทาย เพราะท้าทาย ถึงสนุก"

"เพราะสนุกจึงถูกกิน "

"ไปวิ่งรอบสนาม100รอบไป!!"







'2'







"ดึกแล้ว ถ้าคุณไม่ได้อยู่เวรกะนี้ก็ไปพักผ่อนเอาแรงก่อนเถอะ"

"อีกสามสิบนาทีข้าจะผลัดเวร  เจ้าเองก็พักผ่อนให้ดี  โชคดีอัลคอร์"



"ราตรีสวัสดิ์ คุณเลห์ม"









'1'








 "ที่คุณเคยบอกผมว่าอย่าตาย ... ผมเอง ก็ไม่อยากให้คุณตายเหมือนกัน .. "








'การลงจอดเสร็จสิ้น'







และข้าก็ไม่ใช่คนที่ตาย









รองเท้าบูทหนาหนักย่ำลงบนพื้นหิมะสีขาวที่ยังคงปกคลุมบริเวณอยู่ตลอดทั้งปีทั้งชาติไม่เคยเปลี่ยน  มันจมลึกลงไปเล็กน้อยทิ้งรอยบ่งบอกถึงการถูกรุกรานดินแดนจากสิ่งมีชีวิตที่มีน้อยนักในพื้นที่แถบนี้  ชายชุดดำไม่สนใจในเรื่องนั้น  เขาลากเครื่องยนต์ที่ทิ้งรอยทางยาวลึกกว่าไปยังบริเวณที่หิมะถูกกวาดออกเสียจนเบาบาง  จัดขาตั้งของมอร์เตอร์ไบค์ให้เข้าที่  ตรวจสภาพให้แน่ใจว่าพาหนะประจำตัวทรงตัวได้อย่างเหมาะสม  ก่อนจะสาวเท้าที่มีเพียงสองเท้าไปยังประตูบ้าน


บานไม้สีน้ำตาลเข้มเหวี่ยงเปิดออกเฉียดตัวไปเพียงนิดเดียว  ตามมาด้วยควันสีเทาที่ลอยมากระทบใบหน้า


"หลังจากพายุหิมะ  ก็เป็นเจ้าที่มาเคาะประตูบ้านข้างั้นเหรอไอ้หนุ่มไลเซล"


น้ำเสียงแหบแห้งเอ่ยจากเจ้าบ้านที่ริมฝีปากเหยียดออกเป็นรอยยิ้ม  กลิ่นยาเส้นฉุนๆลอยอ้อยอิ่งพร้อมควันจากไปป์ที่เจ้าตัวถือกลิ้งไปมาอยู่ในมือ


"ข้ายังไม่ได้เคาะประตู"


เลห์ม ไลเซลเอ่ยตอบ  เรียกเสียงหัวเราะในลำคอจากชายสูงวัย ก่อนคนที่ดูหนุ่มกว่าจะแทรกตัวเดินเข้าไปด้านในบ้านโดยไม่รอคำเชิญจากอีกฝ่ายแต่อย่างใด








กลิ่นยาเส้นผสมผสานกับกลิ่นกาแฟให้ฆานสัมผัสประหลาดภายในผนังอิฐสีเทา  ไฟจากเตาผิงลุกโชน  ช่วยให้อุณหภูมิที่เหน็บหนาวจากสายลมภายนอกเพิ่มสูงขึ้นพอที่จะไม่โหดร้ายเกินไปนักเมื่อถอดเสื้อโค้ทหนาออกจากตัว


เลห์มวางถุงกระดาษที่ถือติดมือมาไว้บนโต๊ะ  ทรุดตัวลงนั่งยังเก้าอี้ไม้เก่าๆที่อยู่ข้างกัน  ขณะที่เจ้าบ้านขโยกเขยกกลับไปลับสายตาทางตู้ด้านหลัง  ครู่หนึ่งจึงกลับมาพร้อมแก้วสังกะสีใบใหญ่สองใบและจานขนมปังสีน้ำตาลแก่ก้อนนึง


เสียงก้อก ก้อกจากขาเทียมไม้ของอีกฝ่ายกระทบพื้นดังสม่ำเสมอราวกับจังหวะจากเข็มนาฬิกา   เขารอจนชายสูงวัยนั่งลงบนเก้าอี้ที่โกโรโกโสพอกัน  มือยื่นแก้วมาให้  จึงได้รับมันมาพร้อมขมวดคิ้ว เอ่ยปากถามสิ่งที่สังเกตเห็นแต่แรกจนกลิ่นแรงๆของแอลกอฮอล์เป็นคำตอบของเครื่องดื่มที่ไม่ขึ้นไอ


"คราวนี้ไม่ใช่โกโก้ร้อน?"


เขาคงไม่จำเป็นต้องถาม  ถ้ามันจะไม่ใช่เครื่องดื่มชนิดเดียวที่อีกฝ่ายจงใจเสิร์ฟให้ในการมาเยือนทุกครั้งไม่ว่าเขาจะพยายามประท้วงอย่างไรก็ตาม


"เหล้าเป็นเครื่องดื่มที่เหมาะกว่าสำหรับช่วงไว้ทุกข์"


เจ้าของบ้านเอ่ยอย่างเรียบง่ายพลางกระดกให้ของเหลวสีเหลืองทองในแก้วไหลลงลำคอ  เขาใช้แขนเสื้อปาดเช็ดไรหนวด  มองตรงมาที่แขกคนเดียวของตน  ข้อความบางอย่างคงถูกส่งให้แกผ่านอวจนภาษา  เสียงแหบห้าวจึงกล่าวเสริม


"ข้าบอกเจ้าแล้วไงว่าข้าฉลาด  ทีนี้จะเชื่อได้หรือยัง  และแทนที่จะทำหน้าแบบนั้นก็ร้องไห้เสียบ้างก็ได้นะไอ้หนุ่ม  ตาแก่คนนี้คงไม่มีปัญญาจะเอาไปบอกใคร"


"ความตายในสนามรบเป็นสิ่งที่ข้ารู้จักดีอยู่แล้ว"  เลห์มขมวดคิ้วกล่าวแย้งคำ


ผู้ฟังหัวเราะหึหึในลำคอ  หากแต่ไม่มีสำเนียงของความขบขันอยู่ภายในนั้น  ริมฝีปากเหี่ยวย่นไม่ยกยิ้ม  ไม่เหลือแม้แต่ความเยาะหยันที่มักปรากฎในแววตา



"มันไม่เคยง่ายขึ้นเลย เจ้าว่าจริงไหม"


...



ดวงตาสีแดงจ้องมองคู่สนทนานิ่งนาน


คำพูดหรือการกระทำใดๆแม้แต่การผงกศีรษะก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็น   เมื่อคนตรงหน้าเองก็ผ่านมันมาจนสามารถรับรู้และเข้าใจได้เช่นเดียวกัน


"เพื่อนดีๆงั้นเหรอ?"


"เพื่อนร่วมกองทัพ"


"จากคำสาปของเจ้า?"


"ครั้งนี้ข้าไม่ได้ตาย"


"ออ....งั้นก็เพื่อนที่ดี"


"หัวหน้าที่สั่งแต่อะไรไร้สาระและหมกมุ่นกับการเสี่ยงโชค  ปีศาจที่กินกาแฟใส่น้ำตาลห้าช้อนน่ะเหรอ"


เขาเงียบไปพักก่อนจะผ่อนลมหายใจช้าๆ  


"พวกเขาดี"




ใช่...

แต่ความดีไม่เคยปกป้องใครจากความตาย





"ตายในสนามรบคือเกียรติสูงสุดของทหาร"


"เจ้าหาคำหลอกตัวเองได้ดี"


แก้วสังกะสีถูกขยับยื่นออกมาห่างตัว  เสียงแหบเอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจังและมั่นคงเป็นการเป็นงานอย่างที่เขาไม่เคยคิดว่าอีกฝ่ายจะทำเป็น


"แด่เกียรติแห่งผู้วายชนม์"


เสียงของโลหะกระทบกันดังสะท้อนในความเงียบ  ตามด้วยเหล้ารัมที่ถูกรินไหลผ่านลำคอ  เพิ่มความอบอุ่นในช่วงเวลาที่เหน็บหนาวอันไม่ได้เกิดจากเพียงหิมะของฟรอเซนไฮด์







__________________________________________


 
'จงสรรเสริญโลหิตที่ตกต้องสนามรบ   จงยกย่องทหารผู้พลีชีพในสงคราม

เพราะหากเราผู้ยืนอยู่ในสมรภูมิเดียวกันยังเห็นมันเป็นเรื่องไร้ค่า

ความตายของพวกเขาก็จะไม่มีความหมายอะไรเลย'



---กฎตระกูลไลเซลข้อที่ 11---
 


__________________________________________


For the sake of the dead men






End

__________________________________________






- RIP สาคร
- RIP อัลคอร์
- เจ็บมาก เลห์มรู้จักคนไม่กี่คน  ตายกันรัวๆ
- ฮือออออออออออ อยากโวยวายฟูมฟาย  แต่ทั้งหมดนั่นเลห์มจะไม่ทำ
- ขอให้หลับอย่างสงบ....แล้วเจอกันใหม่.....
- คุณลุงก็แค่ NPC ที่เลห์มเทียวไล้เทียวขื่อไปหาบ่อยๆด้วยเหตุผลบางประการ
- ไลเซลแม่มบ้า.....