กาลครั้งหนึ่งในอดีต
กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....มีเด็กชายหน้าตาน่ารักหล่อเหลานิสัยดีคนหนึ่ง...ที่กำลังจะถูกใช้งานจนเหนื่อยตาย
เด็กชายตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง กินอาหารเท่าที่จะยัดได้ขณะที่วิ่งจากห้องของตนเองไปยังห้องของ 'นายหญิง' ของบ้าน จัดการต้มน้ำ เตรียมอบร่ำเครื่องหอม ครีมประทินผิว ช่วยนางแต่งตัวทำผม จากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย ยังถูกห้อยกระเตงขณะที่นางไปทำงานในแต่ละวัน เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย แต่ก็เหน็ดหน่อยมากมายเช่นกัน เมื่อค่ำมืดกลับมาถึงที่ซุกหัวนอน แทนที่จะได้พักผ่อนยังต้องคอยปรนนิบัติรับใช้ 'ครู' ของตน หลังจากผ่านเวลาเหล่านั้นโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียวมาเป็นเดือนๆ เด็กชายพบว่าในที่สุดตัวเองกำลังจะเหนื่อยตาย
นายหญิงมองมาที่เด็กชายที่อ่อนแรงจนไม่อาจลุกขึ้นจากพื้นมาช่วยนางแต่งตัวได้อีกต่อไปพลางถอนหายใจ นางมองเด็กชายนิ่ง ก่อนจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่นาง 'ใจดี' บอกให้เขานั่งพักเสีย ระหว่างนี้นางจะเล่านิทานให้ฟัง...
"กาลครั้งหนึ่ง..." น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างนุ่มนวล แตกต่างจากโทนเสียงที่นางมักใช้กับเขาอย่างสม่ำเสมอ เป็นถ้อยคำปั้นแต่งอย่างงดงามเป็นธรรมชาติอย่างที่นางมักใช้เวลาทำงาน ช่วงเวลาที่นางกลายเป็นนักแสดงที่รู้จักบทบาทของตนดียิ่งและตราตรึงผู้คน และบทบาทคราวนี้ของนางก็คงเป็นนักเล่านิทาน
".... มีเด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง นางเกิดมาท่ามกลางความอบอุ่นของเตาผิง
และก็เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่เกิดมาพร้อมโชคทั้งหลาย เด็กหญิงรู้จักแต่ท้องฟ้าที่สดใส น้ำสะอาดที่ดื่มกินได้ โต๊ะกินข้าวที่ไม่เคยขาดแคลนอาหาร และค่ำคืนที่หลับฝันไปพร้อมกับเสียงเล่านิทานก่อนนอน....."
"วันหนึ่ง...ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวงดงามพร่าพรายไม่ต่างจากทุกวัน ปีศาจได้เดินผ่านหน้าบ้านของเด็กหญิง และพรากทุกสิ่งที่นางรักจากไป"
เด็กชายที่กำลังขยับตัวจะเอนพิงผนังชะงักเมื่อได้ยินคำนั้น มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเหมือนกับจะประท้วง แต่นายหญิงมองเขาอย่างไม่ยี่หร่ะ สีหน้าแปลได้ความว่า...ก็ข้าจะเล่าเช่นนี้เพราะพอใจ เจ้าจะฟังต่อหรือไม่เล่า..... เด็กชายเห็นดังนั้นจึงได้นิ่งไป.. เขาพิงหลังกับกำแพง...จากนั้นจึงทำตัวเรียบร้อยเป็นผู้ฟังที่ดี
ผู้เล่ามองกริยาเช่นนั้นอย่างพอใจ จากนั้นจึงได้เล่าเรื่องของตนต่อ …
"เมื่อเหลือแค่ตัวคนเดียว เด็กหญิงร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา ตอนนั้นเองที่นางฟ้าปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า นางเอ่ยขอโทษกับเด็กหญิงที่ไม่อาจป้องกันอีกฝ่ายจากปีศาจร้ายได้ จากนั้นมือสีขาวบอบบางจึงยื่นตรงมา…." เช่นเดียวกับเรื่องของตน นางยื่นมือออกมาข้างหน้า ยังผู้ฟังเพียงคนเดียวที่มีอยู่
"......มือขวาของข้าคืออำนาจที่จะมีชัยเหนือปีศาจร้าย ส่วนมือซ้ายของข้าคือความสุข ข้าให้พรได้แค่ข้อเดียว เจ้าจงเลือกเอาสักอันเถิด....."
เด็กชายมองมือนั้น เขานิ่งเหมือนถูกสาป การหยุดนิ่งที่หญิงเจ้าของนิทานหัวเราะน้อยๆ "เด็กสาวคนนั้นทำได้ดีกว่าเจ้า แทบจะทันทีที่นางยื่นมือเล็กๆออกมายังสิ่งที่ต้องการ ถึงอย่างนั้นนางก็ต้องหยุดชะงักไป เมื่อเสียงอ่อนโยนของนางฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...ใช่...ว่านางเลือกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น..."
เมื่อเห็นว่าเด็กชายมองจ้องมาโดยไม่มีคำตอบ เรื่องราวจึงถุูกเล่าต่อ "ได้ฟังคำเตือนเช่นนั้น เด็กหญิงก็หยุดนิ่งอย่างสับสน นางฟ้ามองกลับมาพลางยิ้มให้นาง….ข้าจะให้เวลากับเจ้า จงคิดให้ดีก่อนเวลานั้นมาถึง... นางเอ่ยก่อนจะจางหายไปเหมือนหมอกในยามสาย"
"......หลังจากนั้นเด็กหญิงก็ดำเนินไปตามชะตากรรมของตน นางได้รู้จักท้องฟ้าที่มืดมน ช่วงเวลาที่กระหายจนดื่มได้แม้แต่เลือด ท้องที่คร่ำครวญว่างเปล่า และค่ำคืนที่หนาวเหน็บเยียบเย็น อย่างไรก็ตาม ดูเหมือนนางจะไม่ได้มีแต่โชคร้าย ท่ามกลางความโหดร้ายของโลก นางยังได้รู้จักชายชราที่แบ่งขนมปังแข็งหยาบให้ทั้งที่นั่นเป็นเสบียงชิ้นสุดท้าย หญิงที่เปิดประตูบ้านเล็กแคบให้นางได้หลบลมหนาวหลับนอน นางได้ค้นพบว่าอุณหภูมิของม้านั้นอบอุ่นขนาดไหน และรู้ว่าเพื่อนที่ตายแทนกันได้นั้นเป็นเช่นไร....."
เด็กชายขยับตัวเหมือนอยากจะกล่าวอะไรกับประโยคสุดท้าย แต่เมื่อเขาเงียบไปเสีย นางก็ไม่ว่ากระไร เพียงแต่เล่าต่อไปเท่านั้น
"ค่ำคืนหนึ่งหลังจากผ่านเวลามายาวนาน ในห้วงฝัน...นางได้เห็นภาพของครอบครัวของตนอีกครั้ง ภาพความสุขอดีตแสนไกล เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่มันถูกฉีกทำลาย...."
"....เด็กหญิงตื่นขึ้นพร้อมน้ำตานองหน้า อ้อมกอดของมารดายังเหมือนติดสัมผัสอยู่ที่ปลายนิ้ว นางหันไปบอกเพื่อนของตน ข้าจำเป็นต้องกำจัดปีศาจตนนั้น เพื่อนของนางฟังแล้วก็ไม่ได้ทัดทาน เพียงหยิบธนูและดาบจากนั้นจึงกล่าว ให้ข้าเป็นมีดของเจ้า..เป็นโล่ของเจ้า...ร่วมทางไปด้วยกันเถิด...."
"....เด็กหญิงกับเพื่อนเดินทางร่วมกัน ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจนในที่สุดก็หยุดยืนเบื้องหน้าหอคอยของปีศาจร้าย
ณ ที่นั้นเอง นางฟ้าได้ปรากฎตัวอีกครั้ง นางยื่นมือทั้งสองออกมาแสดงให้ แม้นไม่เอ่ยปากอันใดอีก เด็กหญิงก็จำได้ดี......"
มือทั้งสองข้างของคนเล่าถูกยื่นมาด้านหน้าอีกครั้ง ดวงตาของนางมองตรงมายังเขา ดวงตาที่สื่อความหมายแทนคำพูดได้....ราวกับเป็นคำถามและคำเชื้อเชิญ
"......มือขวาของนางคืออำนาจที่จะมีชัยเหนือปีศาจร้าย ส่วนมือซ้ายคือความสุข...." เด็กชายให้ความร่วมมือ ซึ่งทำให้อีกฝ่ายขยับยิ้ม
"....เด็กหญิงมองมือของนางฟ้า นางโตแล้ว เวลาที่จำต้องเลือกมาถึงแล้ว
แต่นางไม่ได้เติบโตอย่างเปล่าดาย โลกนั้นโหดร้าย แต่สอนนางมากมาย หนึ่งในนั้นคือการรู้จักตั้งคำถาม สองคือไม่มีการรับใดที่ปราศจากของจ่ายตอบแทน และเป็นตอนนั้นที่นางได้เอ่ยออกไป
......นางฟ้าเอ๋ย.. หากท่านมีเมตตาต่อข้า โปรดบอกเถิด เมื่อตัดสินใจเลือกไปแล้วนั้น สิ่งที่ข้าจะต้องสูญเสียคืออะไร......”
"นางฟ้าชะงักนิ่งไป จากนั้นจึงคลี่ยิ้ม" นางพูดพลางเปลี่ยนสีหน้าตน...รอยยิ้มปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นความอ่อนโยนหรือเย็นชา...คงเช่นเดียวกับนางฟ้าในนิทาน "นางยิ้มในขณะที่มอบนิมิตให้แก่เด็กสาวผู้ร้องขอ ให้นางได้เห็นภาพตนเองกำดาบที่เปื้อนเลือดและแทงมันทะลุหน้าอกของปีศาจร้ายแจ่มชัด เช่นเดียวกับร่างของเพื่อนตนที่จมกองเลือดทอดตัวอยู่เบื้องล่าง...ปลายเท้าของนางเอง"
"เด็กสาวกรีดร้อง และภาพนั้นก็จางหายไป ......."
“แม้จะรู้ตัวว่าพื้นที่เหยียบยืนไม่มีร่างของใครนอนอยู่ตรงนั้น นางก็ยังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยละล่ำละลักถาม......แล้วความสุขเล่า….ความสุขต้องแลกด้วยอะไร....”
"เจ้าล่ะรู้ไหม ?" คำถามถูกส่งไปให้ คำถามที่เด็กชายส่ายหน้า ให้หญิงตรงหน้าหัวเราะแผ่วเบา
"นางฟ้าตอบเด็กสาว….ด้วยถ้อยคำอ่อนหวานงดงามเช่นเคย.....เจ้าก็แค่ต้องลืมกระมัง….”
"....คำตอบนั้นทำให้เด็กสาวนึกย้อนกลับไปถึงภาพในวัยเด็ก ......เสียงหัวเราะของพ่อ อ้อมกอดของแม่ เสียงไอโขลกเขลกของน้องชาย แก้มนุ่มๆของน้องสาว บ้านที่อบอุ่นไปด้วยแสงไฟจากเตาผิงท่ามกลางการต่อสู้บนกระดานหมากรุก ภาพที่ราวกับอัญมณีความทรงจำที่มีค่าที่สุดในใจ....."
ผู้เล่านิทานเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม รอยยิ้มของนางฟ้าที่เสียดแทงเขาไม่ต่างกับใจของเด็กสาวในนิทาน
ความเงียบเข้าปกคลุมในห้องนั้นอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่เสียงเนิบช้าจะเล่าเรื่องราวที่ใกล้จะถึงจุดจบของนิทาน
"...เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองตัวแทนของเทพเจ้า แต่นางฟ้านั้นส่ายหน้า เป็นสัญญาณที่บอกว่านางจะไม่เปิดปากมากไปกว่านี้อีกแล้ว มือทั้งสองข้างถูกยื่นออกมา...อีกครั้ง แม้แต่เด็กสาวก็รู้ นี่จะเป็นเวลาเลือกครั้งสุดท้าย…."
"ในที่สุด.......มือของเด็กหญิงก็ยื่นออกไปเบื้องหน้า….."
"นางเลือกอะไร?"
เด็กชายเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อเจ้าของนิทานปิดปากเงียบจนเนิ่นนานเกินไปแล้ว
"นั่นสินะ..." ผู้เล่าลากเสียงราวฉงนสงสัย....พลางจ้องตอบกลับมา นางคลี่ยิ้มสดใสราวดอกไม้ "ข้ายังไม่ได้คิดตอนจบไว้ซะด้วยสิ"
"ไหนๆก็ไหนๆ ถ้าเป็นเจ้าล่ะจะเลือกอะไร เอลีท เวนน์?"
==========================================
ที่มาของนิทานที่เคยเล่าให้องค์หญิงเซรีฟัง