หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2561

[TOB][side stories] กาลครั้งหนึ่งในอดีต

กาลครั้งหนึ่งในอดีต





กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว....มีเด็กชายหน้าตาน่ารักหล่อเหลานิสัยดีคนหนึ่ง...ที่กำลังจะถูกใช้งานจนเหนื่อยตาย


เด็กชายตื่นตั้งแต่ฟ้ายังไม่สาง  กินอาหารเท่าที่จะยัดได้ขณะที่วิ่งจากห้องของตนเองไปยังห้องของ 'นายหญิง' ของบ้าน  จัดการต้มน้ำ  เตรียมอบร่ำเครื่องหอม   ครีมประทินผิว  ช่วยนางแต่งตัวทำผม  จากนั้นเมื่อทุกอย่างเสร็จสิ้นเรียบร้อย  ยังถูกห้อยกระเตงขณะที่นางไปทำงานในแต่ละวัน  เขาได้เรียนรู้อะไรมากมาย  แต่ก็เหน็ดหน่อยมากมายเช่นกัน  เมื่อค่ำมืดกลับมาถึงที่ซุกหัวนอน  แทนที่จะได้พักผ่อนยังต้องคอยปรนนิบัติรับใช้ 'ครู' ของตน  หลังจากผ่านเวลาเหล่านั้นโดยไม่ปริปากบ่นแม้แต่คำเดียวมาเป็นเดือนๆ  เด็กชายพบว่าในที่สุดตัวเองกำลังจะเหนื่อยตาย


นายหญิงมองมาที่เด็กชายที่อ่อนแรงจนไม่อาจลุกขึ้นจากพื้นมาช่วยนางแต่งตัวได้อีกต่อไปพลางถอนหายใจ  นางมองเด็กชายนิ่ง  ก่อนจะเป็นครั้งแรกในรอบหลายๆเดือนที่นาง 'ใจดี' บอกให้เขานั่งพักเสีย  ระหว่างนี้นางจะเล่านิทานให้ฟัง...


"กาลครั้งหนึ่ง..."  น้ำเสียงนั้นเอ่ยอย่างนุ่มนวล  แตกต่างจากโทนเสียงที่นางมักใช้กับเขาอย่างสม่ำเสมอ  เป็นถ้อยคำปั้นแต่งอย่างงดงามเป็นธรรมชาติอย่างที่นางมักใช้เวลาทำงาน  ช่วงเวลาที่นางกลายเป็นนักแสดงที่รู้จักบทบาทของตนดียิ่งและตราตรึงผู้คน  และบทบาทคราวนี้ของนางก็คงเป็นนักเล่านิทาน


".... มีเด็กหญิงหน้าตาน่ารักคนหนึ่ง นางเกิดมาท่ามกลางความอบอุ่นของเตาผิง
และก็เฉกเช่นเดียวกับผู้ที่เกิดมาพร้อมโชคทั้งหลาย  เด็กหญิงรู้จักแต่ท้องฟ้าที่สดใส  น้ำสะอาดที่ดื่มกินได้  โต๊ะกินข้าวที่ไม่เคยขาดแคลนอาหาร  และค่ำคืนที่หลับฝันไปพร้อมกับเสียงเล่านิทานก่อนนอน....."


"วันหนึ่ง...ที่ท้องฟ้าเต็มไปด้วยดวงดาวงดงามพร่าพรายไม่ต่างจากทุกวัน  ปีศาจได้เดินผ่านหน้าบ้านของเด็กหญิง  และพรากทุกสิ่งที่นางรักจากไป"


เด็กชายที่กำลังขยับตัวจะเอนพิงผนังชะงักเมื่อได้ยินคำนั้น  มองอีกฝ่ายด้วยท่าทีเหมือนกับจะประท้วง  แต่นายหญิงมองเขาอย่างไม่ยี่หร่ะ  สีหน้าแปลได้ความว่า...ก็ข้าจะเล่าเช่นนี้เพราะพอใจ  เจ้าจะฟังต่อหรือไม่เล่า.....  เด็กชายเห็นดังนั้นจึงได้นิ่งไป.. เขาพิงหลังกับกำแพง...จากนั้นจึงทำตัวเรียบร้อยเป็นผู้ฟังที่ดี


ผู้เล่ามองกริยาเช่นนั้นอย่างพอใจ  จากนั้นจึงได้เล่าเรื่องของตนต่อ …


"เมื่อเหลือแค่ตัวคนเดียว  เด็กหญิงร้องไห้จนแทบไม่เหลือน้ำตา  ตอนนั้นเองที่นางฟ้าปรากฎตัวขึ้นตรงหน้า  นางเอ่ยขอโทษกับเด็กหญิงที่ไม่อาจป้องกันอีกฝ่ายจากปีศาจร้ายได้  จากนั้นมือสีขาวบอบบางจึงยื่นตรงมา…." เช่นเดียวกับเรื่องของตน  นางยื่นมือออกมาข้างหน้า  ยังผู้ฟังเพียงคนเดียวที่มีอยู่


"......มือขวาของข้าคืออำนาจที่จะมีชัยเหนือปีศาจร้าย ส่วนมือซ้ายของข้าคือความสุข  ข้าให้พรได้แค่ข้อเดียว เจ้าจงเลือกเอาสักอันเถิด....."


เด็กชายมองมือนั้น  เขานิ่งเหมือนถูกสาป  การหยุดนิ่งที่หญิงเจ้าของนิทานหัวเราะน้อยๆ  "เด็กสาวคนนั้นทำได้ดีกว่าเจ้า  แทบจะทันทีที่นางยื่นมือเล็กๆออกมายังสิ่งที่ต้องการ  ถึงอย่างนั้นนางก็ต้องหยุดชะงักไป  เมื่อเสียงอ่อนโยนของนางฟ้าเอ่ยขึ้นอีกครั้ง...ใช่...ว่านางเลือกได้แค่ครั้งเดียวเท่านั้น..."


เมื่อเห็นว่าเด็กชายมองจ้องมาโดยไม่มีคำตอบ  เรื่องราวจึงถุูกเล่าต่อ  "ได้ฟังคำเตือนเช่นนั้น  เด็กหญิงก็หยุดนิ่งอย่างสับสน  นางฟ้ามองกลับมาพลางยิ้มให้นาง….ข้าจะให้เวลากับเจ้า  จงคิดให้ดีก่อนเวลานั้นมาถึง... นางเอ่ยก่อนจะจางหายไปเหมือนหมอกในยามสาย"


"......หลังจากนั้นเด็กหญิงก็ดำเนินไปตามชะตากรรมของตน  นางได้รู้จักท้องฟ้าที่มืดมน ช่วงเวลาที่กระหายจนดื่มได้แม้แต่เลือด  ท้องที่คร่ำครวญว่างเปล่า  และค่ำคืนที่หนาวเหน็บเยียบเย็น อย่างไรก็ตาม  ดูเหมือนนางจะไม่ได้มีแต่โชคร้าย  ท่ามกลางความโหดร้ายของโลก  นางยังได้รู้จักชายชราที่แบ่งขนมปังแข็งหยาบให้ทั้งที่นั่นเป็นเสบียงชิ้นสุดท้าย หญิงที่เปิดประตูบ้านเล็กแคบให้นางได้หลบลมหนาวหลับนอน  นางได้ค้นพบว่าอุณหภูมิของม้านั้นอบอุ่นขนาดไหน  และรู้ว่าเพื่อนที่ตายแทนกันได้นั้นเป็นเช่นไร....."


เด็กชายขยับตัวเหมือนอยากจะกล่าวอะไรกับประโยคสุดท้าย  แต่เมื่อเขาเงียบไปเสีย  นางก็ไม่ว่ากระไร  เพียงแต่เล่าต่อไปเท่านั้น
"ค่ำคืนหนึ่งหลังจากผ่านเวลามายาวนาน  ในห้วงฝัน...นางได้เห็นภาพของครอบครัวของตนอีกครั้ง  ภาพความสุขอดีตแสนไกล  เช่นเดียวกับช่วงเวลาที่มันถูกฉีกทำลาย...."


"....เด็กหญิงตื่นขึ้นพร้อมน้ำตานองหน้า  อ้อมกอดของมารดายังเหมือนติดสัมผัสอยู่ที่ปลายนิ้ว  นางหันไปบอกเพื่อนของตน  ข้าจำเป็นต้องกำจัดปีศาจตนนั้น  เพื่อนของนางฟังแล้วก็ไม่ได้ทัดทาน  เพียงหยิบธนูและดาบจากนั้นจึงกล่าว  ให้ข้าเป็นมีดของเจ้า..เป็นโล่ของเจ้า...ร่วมทางไปด้วยกันเถิด...."


"....เด็กหญิงกับเพื่อนเดินทางร่วมกัน  ฟันฝ่าอุปสรรคมากมายจนในที่สุดก็หยุดยืนเบื้องหน้าหอคอยของปีศาจร้าย 
ณ ที่นั้นเอง  นางฟ้าได้ปรากฎตัวอีกครั้ง  นางยื่นมือทั้งสองออกมาแสดงให้  แม้นไม่เอ่ยปากอันใดอีก  เด็กหญิงก็จำได้ดี......"


มือทั้งสองข้างของคนเล่าถูกยื่นมาด้านหน้าอีกครั้ง  ดวงตาของนางมองตรงมายังเขา  ดวงตาที่สื่อความหมายแทนคำพูดได้....ราวกับเป็นคำถามและคำเชื้อเชิญ


"......มือขวาของนางคืออำนาจที่จะมีชัยเหนือปีศาจร้าย ส่วนมือซ้ายคือความสุข...."  เด็กชายให้ความร่วมมือ ซึ่งทำให้อีกฝ่ายขยับยิ้ม


"....เด็กหญิงมองมือของนางฟ้า  นางโตแล้ว  เวลาที่จำต้องเลือกมาถึงแล้ว
แต่นางไม่ได้เติบโตอย่างเปล่าดาย  โลกนั้นโหดร้าย  แต่สอนนางมากมาย  หนึ่งในนั้นคือการรู้จักตั้งคำถาม  สองคือไม่มีการรับใดที่ปราศจากของจ่ายตอบแทน  และเป็นตอนนั้นที่นางได้เอ่ยออกไป
......นางฟ้าเอ๋ย.. หากท่านมีเมตตาต่อข้า  โปรดบอกเถิด  เมื่อตัดสินใจเลือกไปแล้วนั้น  สิ่งที่ข้าจะต้องสูญเสียคืออะไร......”


"นางฟ้าชะงักนิ่งไป  จากนั้นจึงคลี่ยิ้ม"  นางพูดพลางเปลี่ยนสีหน้าตน...รอยยิ้มปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าเป็นความอ่อนโยนหรือเย็นชา...คงเช่นเดียวกับนางฟ้าในนิทาน   "นางยิ้มในขณะที่มอบนิมิตให้แก่เด็กสาวผู้ร้องขอ  ให้นางได้เห็นภาพตนเองกำดาบที่เปื้อนเลือดและแทงมันทะลุหน้าอกของปีศาจร้ายแจ่มชัด  เช่นเดียวกับร่างของเพื่อนตนที่จมกองเลือดทอดตัวอยู่เบื้องล่าง...ปลายเท้าของนางเอง"


"เด็กสาวกรีดร้อง  และภาพนั้นก็จางหายไป ......." 


“แม้จะรู้ตัวว่าพื้นที่เหยียบยืนไม่มีร่างของใครนอนอยู่ตรงนั้น  นางก็ยังตัวสั่นอย่างหวาดกลัว  หลังจากนั้นจึงเงยหน้าขึ้น เอ่ยละล่ำละลักถาม......แล้วความสุขเล่า….ความสุขต้องแลกด้วยอะไร....”


"เจ้าล่ะรู้ไหม ?"  คำถามถูกส่งไปให้  คำถามที่เด็กชายส่ายหน้า  ให้หญิงตรงหน้าหัวเราะแผ่วเบา


"นางฟ้าตอบเด็กสาว….ด้วยถ้อยคำอ่อนหวานงดงามเช่นเคย.....เจ้าก็แค่ต้องลืมกระมัง….”


"....คำตอบนั้นทำให้เด็กสาวนึกย้อนกลับไปถึงภาพในวัยเด็ก  ......เสียงหัวเราะของพ่อ  อ้อมกอดของแม่  เสียงไอโขลกเขลกของน้องชาย  แก้มนุ่มๆของน้องสาว  บ้านที่อบอุ่นไปด้วยแสงไฟจากเตาผิงท่ามกลางการต่อสู้บนกระดานหมากรุก  ภาพที่ราวกับอัญมณีความทรงจำที่มีค่าที่สุดในใจ....."


ผู้เล่านิทานเอ่ยพลางคลี่ยิ้ม  รอยยิ้มของนางฟ้าที่เสียดแทงเขาไม่ต่างกับใจของเด็กสาวในนิทาน
ความเงียบเข้าปกคลุมในห้องนั้นอยู่ครู่หนึ่ง  ก่อนที่เสียงเนิบช้าจะเล่าเรื่องราวที่ใกล้จะถึงจุดจบของนิทาน


"...เด็กสาวเงยหน้าขึ้นมองตัวแทนของเทพเจ้า แต่นางฟ้านั้นส่ายหน้า  เป็นสัญญาณที่บอกว่านางจะไม่เปิดปากมากไปกว่านี้อีกแล้ว  มือทั้งสองข้างถูกยื่นออกมา...อีกครั้ง แม้แต่เด็กสาวก็รู้  นี่จะเป็นเวลาเลือกครั้งสุดท้าย…."


"ในที่สุด.......มือของเด็กหญิงก็ยื่นออกไปเบื้องหน้า….."




"นางเลือกอะไร?"

เด็กชายเอ่ยถามขึ้นในที่สุดเมื่อเจ้าของนิทานปิดปากเงียบจนเนิ่นนานเกินไปแล้ว

"นั่นสินะ..." ผู้เล่าลากเสียงราวฉงนสงสัย....พลางจ้องตอบกลับมา นางคลี่ยิ้มสดใสราวดอกไม้ "ข้ายังไม่ได้คิดตอนจบไว้ซะด้วยสิ"





"ไหนๆก็ไหนๆ  ถ้าเป็นเจ้าล่ะจะเลือกอะไร  เอลีท เวนน์?"



==========================================

ที่มาของนิทานที่เคยเล่าให้องค์หญิงเซรีฟัง

[TOB][side stories] หมากรุก

หมากรุก






เอลีท เวนน์ ไม่ชอบเกมหมากรุก


สาเหตุของเรื่องนี้ไม่ได้เกิดจากการที่เขาได้เกรดบีในวิชาหมากกระดานปีที่แล้ว  ไม่ใช่เพราะเขาไม่เคยชนะอิซาคัส รอย หรือใครคนอื่นที่นั่งตรงข้ามฟากกระดานของตนเองสักนัดตั้งแต่มาที่เอดินเบิร์ก  อันที่จริงถ้าพูดให้ถูกต้อง ย้อนไปในช่วงเวลาที่เขายังเด็กกว่านี้และเลือกขยับม้าเป็นตาแรกเปิดกระดาน  เวลาที่คู่ต่อสู้ของเขามีเพียงคนเดียวคือผู้ชายที่เก่งที่สุดในโลก คงต้องบอกว่าครั้งหนึ่ง เขา ‘เคย’ ชอบมัน  


ช่วงเวลาที่เขายังอาศัยอยู่ภายในห้องหับที่มีเตาผิงอบอุ่น ตาหมากรุกถูกเดินสลับไปทีละตา ท่ามกลางเสียงหัวเราะและเสียงโวยวายจากคนตัวเล็กกว่าที่เป็นฝ่ายพ่ายแพ้อย่างสม่ำเสมอ  ไม่มีครั้งไหนเลยที่เกมจบลงอย่างขาวสะอาด  และหมากสองฝั่งอยู่ ‘บนโต๊ะ’ ครบตลอดทั้งกระดาน


“ท่านเล่นโกง!”  เด็กขี้แพ้เอ่ยประท้วงเมื่อคิงถูกรุกฆาตเป็นครั้งที่สาม  ไม่ได้แยแสต่อบิชอปดำของอีกฝ่ายบนตักตนที่ถูกทำให้หายไปจากกระดานตั้งแต่ช่วงกลางเกม...แน่นอนว่าไม่ได้เป็นไปตามกติกาที่ถูกต้องด้วย


คนโตกว่าซึ่งนั่งอยู่ฟากตรงข้ามยิ้มกว้าง หัวเราะในลำคอ เรือสีขาวที่สาบสูญไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่แน่ชัดปรากฎตัวกลิ้งไปมาระหว่างนิ้วในมือขวาของเขา  “หมากรุกเป็นเกมบ่มเพาะนิสัยเสีย  เพราะมันมีกติกาสูงส่ง ทำให้เจ้าคิดว่าคู่ต่อสู้จะต้องเล่นตามกฎ”  มือใหญ่ข้างที่ว่างยื่นข้ามโต๊ะมาขยี้เสียจนเส้นผมสีเทาตัดสั้นยุ่งเหยิง  “เจ้าควรภูมิใจนะไอ้ลูกชาย  นอกจากพ่อเจ้าแล้วไม่มีใครสอนหมากรุกแบบนี้ให้เจ้าอีกแน่”


“นอกจากเจ้าแล้ว คงไม่มีใครอื่นที่โกงหมากรุกเด็กเจ็ดขวบอีกแน่”  เสียงบ่นพึมพำตามด้วยเสียงถอนหายใจดังจากผู้ใหญ่อีกคนที่นั่งอ่านเอกสารเงียบๆอยู่มุมห้อง  


บางครั้งเขาก็สงสัยว่าท่านอาชาริลรู้อะไรๆมากขนาดนั้นได้ยังไง  ทั้งที่ตั้งใจทำอย่างอื่นอยู่ตั้งไกล หรือที่จริงก็แสร้งทำไปอย่างนั้นแต่แอบอู้เหมือนท่านพ่อกันนะ


ลุคทำหูทวนลมเหมือนไม่ได้ยินคำของเพื่อน เอ่ยถามคู่ต่อสู้ที่เด็กกว่าตัวเกินสามรอบ  “จะเล่นอีกรอบไหม?”


นัยน์ตาสีเขียวพราวระยับ หัวเล็กๆผงกขึ้นลงด้วยท่าทางมุ่งมั่น “เล่น!”


ตัวหมากที่ถูกขยับเคลื่อนไหวส่งเสียงดังขึ้นเบาๆเป็นระยะราวกับทำนองขับกล่อม ก่อนจะตามด้วยเสียงเด็กที่ถูกโกงโหวกเหวกโวยวายอีกคำรบนึง










เอลีท เวนน์ ไม่ชอบเกมหมากรุก


เพราะหมากรุกเป็นเกมบ่มเพาะนิสัยเสีย ที่ทำให้แม้แต่ผู้ชายที่เก่งที่สุดในโลกยังอาจลืมได้ว่า  นอกจากเรื่องที่คู่แข่งอาจจะไม่ทำตามกฎ บางครั้งคู่ต่อสู้ก็ไม่ได้มีเพียงผู้ที่นั่งอยู่ตรงข้ามของฟากกระดาน


และไม่ใช่แค่ตัวหมากของฝ่ายตรงข้ามที่มีโอกาสรุกฆาตคิง