หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

[DGL] Airitech I


 From Gealach lan : the fullmoon rites






(1)


Airitech








กลิ่นของป่าเปลี่ยนไป


เขาหยุดเท้านิ่งลงเมื่อประสาทสัมผัสรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น  จมูกของเขาไม่ได้ไวนัก  เนื่องจากส่วนเสี้ยวที่ช่วยในเรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเลือดอื่นๆที่ไหลเวียนในร่างกาย  และเมื่อนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปรกติไป  ย่อมหมายถึงสาเหตุของมันคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากแล้ว  จนอาจจะเรียกได้ว่ามากเกินไป…..   


แต่เช่นนั้นก็ดี…...ก็เขาตัดสินใจแบบนั้นเองไม่ใช่หรือ


เขาหลับตาลง  สดับฟังเสียงเสียดสีของใบไม้ที่ต้องลมดังประสานกับเสียงอื่น  กิ่งไม้ลั่นกรอบแกรบจากการถูกเหยียบย่ำ  เปลือกไม้ถูกกระเทาะจากอะไรบางอย่าง  ถึงอย่างนั้นมันก็เบาเพียงพอจะตัดสินได้ว่านักล่าที่ตรงเข้ามานั้นเป็นผู้มีฝีมือ   สอง..สาม..สี่  เขานับเลขในใจ  ขณะที่เท้าปักหลัก  การเดินทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว  บัดนี้เขาไม่คิดจะขยับไปที่ใด


...


เสียงนั้นหยุดลงไป  กลายเป็นความเงียบ  เปลือกตาที่ปิดพับถูกสั่งให้ลืมเปิดขึ้น  เขากลอกมันไปรอบๆตัว  ดวงจันทร์แหว่งวิ่นฉายแสงเหลืองทออ่อนลอดผ่านใบไม้หนาลงมาสู่พื้น  เห็นเป็นเงาตะคุ่มปกคลุมอยู่ทั่วไป


ภาพป่ารอบกายเขาไม่มีสิ่งใด…


แน่นอนว่า...นั่นเป็นเพราะการรับรู้ทางตาของเขาไม่ดีพอ


ก้อนเนื้อในหน้าอกเต้นรัวเร็วเสียจนรู้สึกเจ็บ  เขาพยายามสะกดมันไว้  สูดลมหายใจเข้าลึก..ช้า….ก่อนผ่อนมันออกอย่างควบคุมได้เป็นครั้งสุดท้าย  เงาไม้ขยับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากหางตาซ้าย  ตัวเขาหันไปหามันตามสัญชาตญาณ  เสียงพลั่กดังขึ้นขณะเขาไอรุนแรงเมื่อแรงกระแทกที่กลางท้องดันตัวเขาไปติดยังต้นไม้ด้านหลัง  ศีรษะโคลงจากแรงสะท้อนจนมึนชา  ภาพที่เห็นจึงดูมัวซัวไม่ชัดเจน


‘ง่ายดายแค่นี้..เห็นไหม?’  เงาหนึ่งออกเสียงแปร่งปร่าดังเข้าในหู  เขานิ่วหน้าลง  ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการแปลความมัน  


‘เนื้อยังตื่น’  เสียงที่ต่างดังจากอีกทางดูร้อนรนกว่า


‘ก็ทำให้หลับเสีย’


สิ้นคำ วัตถุที่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็พุ่งเข้าสู่ใบหน้า  เปลี่ยนภาพของเงาสูงใหญ่ให้กลายเป็นสีขาวสลับดำ    
ร่างเขาเอียงร่วงหล่น  สัมผัสแข็งและกลิ่นดินชื้นๆลอยเข้าจมูกปนกับกลิ่นเลือด ในหัวราวกับพายุที่หมุนวน


จุดจบนั้นง่ายดายเช่นนี้เอง…...


แล้วโลกทั้งใบก็ดับวูบลง








เจ็บ……..


คำนั้นกรีดร้องบอกเขาเป็นอย่างแรกเมื่อรู้ตัวตื่น  มันดังราวกับฟ้าผ่าในโลกที่ยังคงมืดสนิท  อาการไม่สบายตามตัวไล่ไปมาทั่วร่างราวกับไฟแผดเผา  ที่แย่ที่สุดคงเป็นหัวที่มึนชา  มันเจ็บร้าวไล่ลงไปตามลำคอและแผ่นหลัง  แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดเกร็งจนไม่อยากทำอะไร


ความตายเป็นเช่นนี้เองหรือ?


ชั่วขณะเขารู้สึกโกรธขึ้นมา  เรื่องเล่าสมัยเก่าย้อนกลับมาในห้วงความคิด  เขาเคยได้ยินผู้มีอายุเก่าแก่เอ่ยตอบ  ภูตพรายขับลำนำ  หลังความตายนั้นงดงาม  เบาสบาย  ไม่มีความเจ็บปวดกล้ำกราย  ไม่มีทุกข์ใด…..


ภูตพรายเป็นเผ่าโกหกโดยสันดาน  ถูกกล่าวถึงดังนั้นมาแต่โบราณ…...เขาโง่เองที่เชื่อพวกนาง


ความขัดเคืองเรียกกำลังวังชา  มันทำให้เขาขยับตัวอย่างอึดอัดราวกับฟืนเติมลงเชื้อไฟ  เมื่อนั้นเขาจึงได้รู้สึกว่ามือของตนไม่อาจบังคับได้ดังใจ  มันถูกผูกตรึงไว้ด้วยสิ่งใดบางอย่างที่รัดแน่น  ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งปวดร้าว..บาดลึกลงไป


ความตายมีพันธนาการด้วยหรือ?


ความฉงนเรียกให้เขาหันไปหาแขนของตน  แต่เขามิอาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากความมืดดำสนิทของราตรีกาล


เช่นนั้นเขาจึงลืมตา…...






ภาพหลังม่านตาหนาหนักมิใช่ผืนดินแห่งไฟ  กลิ่นกำมะถันพร้อมเถ้ากระดูก  หรือแสงเจิดจ้าพร้อมทุ่งหญ้าเขียวขจีล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาพันธุ์  แต่เป็นดวงตาใสกลมโตและหูสองข้างที่กระดิกไปมา


ชั่วขณะเขาขยับตัวเพื่อจะหยิบมีดจากข้างในเสื้อคลุมตามสัญชาตญาณ  แต่มือกลับถูกหยุดไว้ด้วยความรู้สึกปวดแปลบอีกครั้ง  มันเตือนให้เขารู้ว่าสิ่งที่รู้สึกเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน   เมื่อหันไปมองจึงพบว่าแขนทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา  มันบาดข้อมือเสียจนมีเลือดซึม  คงเป็นตอนที่เขาพยายามกระชากมันออกตอนยังไม่รู้สึกตัวดี  ปลายอีกด้านของเชือกพันกับโขดหินที่ห่างออกไปไม่ไกล  เรียบง่าย..ทว่าดูมั่นคงแข็งแรง


อย่างน้อยสิ่งหนึ่งก็ชัดแจ้ง….เขามิได้ตาย  หากแต่อยู่ในถ้ำหินกว้างสีเทาดำ  


และใช่….เขามิได้อยู่ที่นี่เพียงตนเดียว


เขาละสายตาจากมือที่ถูกพันธนาการของตนไปยังร่างที่โผล่ออกมาจากโขดหินห่างไปไม่ไกล  แม้จะกระโดดหนีทิ้งระยะออกไปสักสามสี่ช่วงตัวแล้ว   แต่เจ้าของหูตรงหน้าเมื่อครู่ก็ยังโผล่หัวและดวงตากลมภายใต้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มนั้นมองมา  สีหน้าตื่นเต้นราวกับกำลังดูสิ่งประหลาดน่าสนใจ  


เขาจ้องตอบ  เพื่อจะเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ทำอะไรนอกจากมองกลับมาตาใสๆ  หางสีเข้มแกว่งไปมาอย่างใคร่รู้  เห็นแบบนั้นแทนที่จะรู้สึกอย่างอื่น  กลับทำให้เขาคิดถึงอดีตอันไกล  จึงแสร้งลองขมวดคิ้วดุหนักๆเข้า  ออกเสียงแฮ่ไปเสียทีนึง


เท่านั้นร่างเล็กๆก็สะดุ้งโหยง  ขยับปากส่งเสียงร้องตะโกน   ก่อนจะออกวิ่งไปยังทิศทางที่มีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามา  


“ท่านพ่อ  มนุษย์ปลอมลืมตาแล้ว!”   


เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  แต่บัดนี้รู้สึกเหมือนมุมปากแห้งผากขยับเหยียดไปเล็กน้อยเสียทีนึง








“เจ้าเป็นตัวอะไร?”


เสียงที่เอ่ยถามดังกังวาน...ทุ้มและหนักแน่น  มีอำนาจอยู่ในนั้นมากพอจะบ่งบอกได้ว่าผู้พูดคงเป็นผู้มีความสำคัญและเคยชินกับการออกคำสั่งแก่ผู้คน  


เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา  เมื่อเจอกับอำนาจที่เหนือตน  แม้จะตัดสินใจทิ้งชีวิตแล้ว  ความกลัวก็ยังคงปรากฎขึ้นอยู่นั่นเอง  ให้เมื่อรับรู้ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองในใจ


เขาหายใจเข้าลึก...ทบทวนความคิด....ข้าตั้งใจจะตายมิใช่หรือ  ตั้งใจขนาดนั้นแล้วควรกลัวอะไร….   เขาเอ่ยบอกตนเองซ้ำไปมาราวมนต์สะกด  และยึดมันเป็นแรงเหนี่ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง  สบเข้ากับดวงตาสีทองที่จ้องตรงมา


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์  เป็นตัวอะไร?”  น้ำเสียงเร่งเร้าถามดุดันยิ่งขึ้นเมื่อต้องเอ่ยเป็นคำรบสอง  คิ้วหนาคู่นั้นขมวดลงขับให้ใบหน้าเข้มยิ่งดูน่าเกรงขาม  สันกรามแข็งแกร่งดึงริมฝีปากให้เรียบสนิท  เมื่อรวมกับแววตาดุกร้าวก็สะกดเรียกความหวาดหวั่นของผู้พบเห็นให้ตื่นขึ้นมา  แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิ้วสักนิ้วเดียว


รวมถึงหูหรือหางสีเข้มนั่นด้วย


แต่มันไม่สลักสำคัญหรอก  คำถามนั้นต่างหาก….


“เจ้า…..รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่มนุษย์?”   เสียงที่ออกจากปากเขาแหบแห้ง  บ่งบอกว่าคงไม่มีน้ำสักหยดล่วงผ่านลำคอมานานพอสมควรแล้ว


“กลิ่นเลือดของเจ้าไม่ใช่ของมนุษย์”   อีกฝ่ายตอบกลับง่ายดาย  “มีกลิ่นที่ข้ารู้จักคุ้นเคย  แต่มันปนเปวุ่นวาย  เพราะฉะนั้นจงตอบมาเสียตัวประหลาด  เจ้าเป็นสิ่งใด?”


ตัวประหลาด…..เขาทวนคำนั้นในใจ  รู้สึกเหมือนแผลลึกภายในถูกกรีดลงซ้ำ  คำเก่าที่คิดว่าได้ยิน..จนด้านชา...ยังทำให้เจ็บปวดจนน่าขัน    


เขาหยุดนิ่ง...เพียงครู่เดียว...ตามด้วยการผงกศีรษะขึ้นลงเป็นการตอบรับ  “ข้าเป็นเสี้ยว…..หนึ่งในนั้นคือหมาป่า”  เขาตอบอย่างไม่ปิดบัง  อันที่จริงการทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น   คำตอบเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว  และเขารู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ย่อมทราบ  กลิ่นของทุกอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  โดยเฉพาะกับเผ่าหมาป่าที่มีความสามารถสูงในการแยกแยะมัน


หรือถึงไม่ใช่…..คำพูดสื่อสารของพวกเขาย่อมบ่งบอกตัวมันเอง


ภาษาของหมาป่า….เรียนรู้ด้วยสัญชาตญาณแต่กำเนิด  บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์  แม้เขาไม่ได้ใช้นาน  เนื่องจากไม่มีผู้ที่จะได้ใช้สนทนาด้วยจนเกือบลืมสิ้น  หากแต่ถึงจะทิ้งร้างไป  มันยังคงสลักในเลือดเนื้อ  เด่นชัดในความทรงจำ


ยังย้ำอยู่ว่าเขาเป็นส่วนเสี้ยวของสิ่งมากมาย  เป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้ใด…..


ความเงียบกัดกินเวลาหลังคำตอบของเขา  แต่เพียงไม่นานนัก  เพราะผู้ยืนอยู่เหนือร่างเขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นกังวาน


“มอคเชร่าไม่ทำร้ายหมาป่าด้วยกัน  เจ้าไม่ใช่เนื้อที่เราจะกิน”  ร่างสูงเลื่อนมือขึ้นมากอดไว้ที่อก  สายตาพินิจมองลงมา  สีทองประกายคู่นั้นไม่ได้ทำให้สั่นกลัวเหมือนทีแรก  แต่ยังคงความน่าเกรงขามไม่เปลี่ยน  “มอคเชร่ากับหมาป่าล้วนเป็นมิตรกันยาวนาน  ข้าจะทำตามประเพณี   แต่จงรู้….ข้าจะดูไว้  หากเจ้าเป็นภัยต่อเผ่า  ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าด้วยตนเอง  จำคำนี้เอาไว้ให้ดี”


เขากำลังจะพยักหน้ารับเมื่อร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้  เงื้อกรงเล็บขึ้นเหนือตัวเขาก่อนจะตวัดมันลงมา


...


แขนทั้งสองข้างตกลงมาอยู่ข้างลำตัว  ไร้ซึ่งเชือกที่ผูกรั้งไว้แล้ว  เขาจึงได้ขยับมือที่เป็นอิสระของตนเอง


“ขอบคุณ…..”  ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าเขาจะหาคำพูดตนเองเจอ


ร่างสูงใหญ่เพียงมองเขาด้วยหางตา  ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทางปากถ้ำ  เขามองตามหางฟูๆสีเข้มจนเกือบดำที่แกว่งไกวเบาๆตามจังหวะการเดิน  และเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเหม่อไปเมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง


“ตัวประหลาด  เจ้าเรียกตนว่าอะไร?”   น้ำเสียงนั้นยังคงดุ  อาจจะเพราะรู้ว่าเมื่อครู่เขากำลังมองอะไร


เขากลืนน้ำลายลงคอ…..คิดคำนวณบางอย่างในใจ  เขาอาจตอบไปว่าเขาทิ้งชื่อไปแล้ว  เพราะนานเหลือเกินที่ไม่มีใครเอ่ยมัน  แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด


“ไอริเทช”  


หมาป่าเพียงพยักหน้า...เล็กน้อย  แล้วสาวเท้าออกไป ทิ้งเขาไว้ลำพังในถ้ำหินเยียบเย็น 







[EGOT] Merle Lannister

เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ
 =============================




*ตะรูปไว้ก่อนนะตัวเอง*







“ข้าอยู่สูงกว่าคนอื่น  ไม่ใช่เพื่อเหยียบย่ำ  แต่เพื่อให้มองพวกเขาได้ทั่ว  
ข้าเรียนรู้มากกว่าคนอื่น  มิใช่เพื่อทำร้าย  แต่เพื่อรู้ว่าปัญหาที่คนทั่วไปแก้ไม่ได้ ข้าจะทำอย่างไรเพื่อแก้ไขมัน”  


“Merle, a woman, is dead. I am a lionness.”



ชื่อ:  Merle Lannister


เพศ: หญิง


อายุ: 32


ส่วนสูง/น้ำหนัก:  170 / 53


สีตา/สีผม: emerald / blonde


บุคลิกและลักษณะ: 

- หญิงรูปร่างสมส่วน  ดูแลผิวพรรณและรูปร่างอย่างดี   รอยยิ้มอบอุ่นนุ่มนวลประดับบนใบหน้าเสมอ  ผมยาวสีทองเป็นลอนน้อยๆมักถูกจับรวบขึ้น  เค้าของความงามยังปรากฎให้เห็นแม้จะเลยวัยสาวไปแล้ว  หากไม่นับตำหนิจากแผลเป็นที่มักถูกซ่อนเอาไว้ 

-  แผลเป็นจากไฟไหม้ที่ใบหน้าด้านขวา ลำตัวและแขนขวาบางส่วน  สวมเสื้อผ้าหรูหราอย่างหญิงชนชั้นสูงแขนยาวและผ้าคลุมหน้าเพื่อปิดบังบาดแผลเสมอ


นิสัย:

-  แม่พระผู้อ่อนโยน  กิริยามารยาทงดงามอย่างชนชั้นสูง คำพูดคำจาสุภาพเรียบร้อยงดงามไม่แบ่งแยกไม่ว่าอีกฝ่ายจะเป็นใคร  สร้างบรรยากาศแห่งความสบายใจแก่ผู้ที่พบเห็นพูดคุยด้วยเสมอ  มักมีคำแนะนำดีๆให้กับคนที่มาปรับทุกข์หรือร้องเรียน  ไม่เคยรังเกียจการพูดคุยกับผู้มีศักดิ์ต่ำกว่าและไม่เคยเห็นสิ่งนั้นเป็นเรื่องเหนื่อยหน่าย 

-  ‘ถ้าท่านไม่มีขนมปัง  ข้าจะแบ่งส่วนของข้าให้…..’
ให้ความสำคัญกับ charity มาตลอด  ด้วยความสม่ำเสมอที่ยาวนาน  จึงเป็นที่รักของชาวเมือง

-  มองการณ์ไกล  ช่างวางแผน และรู้วิธีขับเคลื่อนผู้คน
‘ คนย่อมโอนอ่อนต่อน้ำ  และบางทีก็เพลิดเพลินกับมันโดยไม่รู้ตัว….จนจมลงสู่ก้นทะเล’

-  หนึ่งเพื่อแลนนิสเตอร์  สองเพื่อแลนนิสเตอร์  สามเพื่อแลนนิสเตอร์  นับถึงสิบก็เพื่อแลนนิสเตอร์

-  ถึงจะดูเป็นคนง่ายๆ  แต่ก็ติดความหรูหราฟุ้งเฟ้อแบบชนชั้นสูงอยู่  เพราะฉะนั้นสิ่งไม่สวยงามที่อยู่ตรงหน้าและอยู่ในสถานะจัดการได้  ก็จะรีบทำ…..


อาวุธ: ความนิยมและความเป็นที่รัก


ตำแหน่ง: พี่สาวของผู้นำตระกูล


เมือง: แลนนิสเตอร์


ระดับความสัมพันธ์กับผู้นำเมือง:  รักใคร่กลมเกลียว  ช่วยเหลือเกื้อกูลกันเป็นอย่างดี


ประวัติ: 

- บุตรีคนหนึ่งของลอร์ดแลนนิสเตอร์คนก่อน  

- ใช้ชีวิตแบบปรกติชนชั้นสูงมาตลอด  

- เธอมีความสนใจในเรื่องงานการกุศลมาแต่เดิม สมัยที่ยังสาวกว่านี้จะพบตัวได้บ่อยในเมือง  ตามกิจกรรมสาธารณประโยชน์ในที่ต่างๆ   เคยถึงกับลงมือช่วยช่างก่อสร้างสร้างอาคารจนมอมเลอะไปทั้งตัวด้วยซ้ำ  ยังมีคนเอ่ยถึงเรื่องนั้นมาจนทุกวันนี้

-  ประสบอุบัติเหตุไฟไหม้ที่สถานเลี้ยงเด็กกำพร้าแห่งหนึ่งเมื่อสิบกว่าปีก่อน  หลังจากนั้นก็มีแผลเป็นติดตัว  ทำให้ไม่ได้แต่งงานออกไป  และยังอยู่อย่างเป็นแลนนิสเตอร์มาจนถึงปัจจุบันนี้  

-  ปัจจุบันก็ยังเป็นผู้อุปถัมภ์ของโครงการหลายๆอย่าง  แม้จะไม่สามารถลงมือเองได้เหมือนแต่ก่อน  เพราะติดขัดหลายอย่างและอาจจะเพราะอายุมากขึ้นด้วย   แต่ก็ยังคงเป็นที่รักของชาวเมืองอยู่นั่นเอง


โรคประจำตัว:  ไม่มี  แค่บางครั้งก็รู้สึกตึงแผลที่ใบหน้าและแขนบ้างช่วงอากาศเย็นจัด


งานอดิเรก/ ความสามารถพิเศษ:  เลี้ยง ‘นก’

สิ่งที่ชอบ:  แลนนิสเตอร์  / นกดีๆ / การเข้าใจความคิดผู้อื่น / เครื่องดื่มที่มีกลิ่นหอม 

สิ่งที่ไม่ชอบ:  ความไม่เป็นระบบระเบียบ / การเจรจาที่ล้มเหลว


อื่นๆ:  เดี๋ยวค่อยๆเฉลยไปแล้วกันเนอะ


PVP: (OFF)


สมาชิกในครอบครัว:  (รอการอัพเดท)

วันพุธที่ 27 พฤศจิกายน พ.ศ. 2556

[EBF][Lehm] Dream

เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ









----------------------------------------------------------------------------------


From Main event :  Nightmare night





Lehm Leisel
#3136










3




2




1






เลห์มได้ยินเสียงของป่า

เขาลืมตา….คิดว่าลืมตาขึ้น….หลังจากผ่านขั้นตอนตอบรับเริ่มแรกของระบบที่เขาไม่ค่อยเข้าใจนัก  เลห์ม ไลเซลก็จงใจกรอกชื่อตัวเองด้วยภาษาเอชลิค...อย่างที่เขาเรียนรู้มาจากอัลคอร์...ตามที่โปรแกรม DCS บอกให้ทำแล้วเลือกยืนยันตัว  จากนั้นเขาก็มานอนอยู่ตรงนี้  ท่ามกลางทิวทัศน์ยามโพล้เพล้ซึ่งเป็นสถานที่บรรจบกันของป่ารกครึ้มและทุ่งหญ้ากว้างสุดลูกหูลูกตา  

เลห์มถัดตัวลุกขึ้นยืน  รองเท้าคอมแบทคู่เก่าเหยียบใบหญ้าสีเขียวที่รองรับตัวเขาไว้เมื่อครู่  ขณะเดียวกับที่สายตากลอกมองไปรอบๆอย่างระมัดระวัง  ไม่มีอะไร...นอกจากตัวเขาเองที่ยืนอยู่ ณ ที่แห่งนี้    และเสียงนกที่แว่วเข้าหูเป็นพักๆจากป่าที่ห่างออกไปไม่ไกล

เขาขยับมือไปที่เข็มขัดข้างตัว  สัมผัสเยียบเย็นของปืนพกตอบรับเขาอย่างคุ้นเคยเหมือนกับทุกที   ถัดไปไม่ไกลคือมีดพกที่ไม่เคยห่างตัว ห้อยสงบนิ่งอยู่ในซองประจำที่เดิมของมัน  ซึ่งทำให้พอจะรู้สึกอุ่นใจ

หากนี่เป็นความฝัน….
ความจริงหรือภาพลวง…..นานวันเข้าก็ชักแยกจากกันได้ยากขึ้นทุกที

เลห์ม ไลเซลผละจากความคิดไร้สาระในหัวของตนเอง ก้าวเดินจากจุดที่ยืนอยู่ แม้คำอธิบายก่อนหน้าภารกิจจะเข้าใจยาก แต่เป้าหมายที่ทำให้เขาต้องมายืนอยู่ตรงนี้ก็ชัดเจนดี ตามหาไนท์แมร์ ฆ่า แล้วนำของที่มันอาจจะมีกลับไป เป็นคำสั่งให้ปฏิบัติตามที่ง่ายต่อความเข้าใจของทหารที่ต้องลงมือกระทำ

ทางที่จะเลือกไปเหรอ….แน่อยู่แล้ว

เท้าทั้งสองพาร่างเขาย่ำเข้าสู่พื้นที่ป่า….ไม่มีความลังเลใดๆ



+++++++++++






สีขาวเป็นสีที่ชวนให้สบายใจ  นุ่มนวล และไร้พิษสง  แต่หากมันเป็นสิ่งเดียวที่พบเห็นในคลองสายตาแล้วล่ะก็   มันดูจะเป็นสิ่งที่ชวนให้หงุดหงิดไม่เบา

ภาพตรงหน้าเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนทำให้ระลึกได้ว่าเขาไม่ได้อยู่ในโลกปรกติ   สีขาวของหมอกหนาทึบปกคลุมรอบตัว  ทัศนวิสัยเท่ากับศูนย์  อย่างที่ชวนให้นึกว่าถ้าโชคร้ายเกิดเจอสถานการณ์แบบนี้ท่ามกลางสนามรบ  คงไม่วางถูกศัตรูยิงตาย

สิ่งที่ทำได้….ก็คงเป็นอย่างที่คนคนนั้นเคยสอน

มีดสั้นถูกชักออกจากที่อยู่ดั้งเดิม  เขากำมันกระชับด้วยมือขวา แขนทั้งสองข้างถูกใช้ในการเบิกทาง  ราวกับหมอกเบื้องหน้าเป็นพุ่มไม้รกร้างซึ่งจะหายไปเพียงเขาออกแรงตัดทำลาย

ไม่นาน  หมอกสีขาวก็จางหายไป

แทนที่ด้วยเสียงพูดที่ดังขึ้นมา

....



+++++++++++



“งั้นเหรอ…..ดูเหมือนพวกเขาล่ะสินะ”

เขามองนัยน์ตาสีเขียวอมเทาที่หรุบมองต่ำลงตรงหน้า  เสียงของอีกฝ่ายเปลี่ยนไปจากน้ำเสียงร่าเริงจนน่ารำคาญที่ทำมาตลอด….นิดหน่อย   เลห์มเพียงแต่มองดู  ไม่มีคำพูดใดออกจากปาก  

ไม่ใช่ธุระของเขาที่ต้องใส่ใจเด็กกวนประสาทที่ไม่รู้จัก

แค่ภาพคนตรงหน้าทำให้เขาคิดถึงใครอีกคนนึง

แจ๊คกลับมาพูดเรื่อยเปื่อยเป็นตัวเองในเวลาไม่นาน  เขาฟังแบบปล่อยให้มันลอยผ่านหูไป   จากนั้นเมื่อดูจะถึงเวลาที่สมควรเด็กนั่นก็ส่งของหนึ่งมาให้  ขู่เสียดิบดีว่าห้ามเปิดก่อนจะออกจากที่แห่งนี้ไป

เลห์มตอบสนองมันด้วยการนิ่งเงียบ  ก่อนทุกอย่างจะจบลง  และเขาลืมตาขึ้นจริงๆในโลกอีกแห่งหนึ่ง

















.




...



.....



...........









‘หือม์…...คิดถึงผมด้วยเหรอ…..เป็นคนดีเหมือนเคยเลยนะครับ’






‘ผมเองก็รักเธอนะ  แต่ให้คิดถึงกันขนาดนั้น  สำหรับเธอแล้วออกจะเสี่ยงไปสักหน่อย’






‘ถ้ายังไงล่ะก็….ความคิดพวกนี้  ผมขอลบมันไปก็แล้วกัน’






‘หลับฝันดีนะครับ….เลห์ม…..น้องชายที่น่ารักของผม’
















It's only a mission in dream. which he cannot remember it, totally.






[End of  DCS mission]