หน้าเว็บ

วันเสาร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2558

[TOB] EVENT1.4 : The sword and who holds it



เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ

The Thief of Baramos fan commu

========================================

Aelith Wayne the Mercenary of Venol
2nd year, The noble castle

For Profile

========================================


“ดาบที่ดีย่อมต้องการผู้ใช้ที่ดี”

 เสียงทุ้มต่ำของชาริล อัลวาเรซดังจากเบื้องหลังของเขา  แผ่วเบากว่าเสียงของลมที่ถูกตัดผ่านจากการเหวี่ยงดาบอย่างรุนแรงของคู่ต่อสู้ด้านหน้า  ถึงกระนั้นคนที่คอยเงี่ยหูฟังมันมาหลายปีก็ได้ยินอย่างชัดเจน
   

 “ไม่ว่าอย่างไหน  ถ้าจะเอาตามมาตรฐานของท่านก็เป็นของหายากทั้งนั้น”  

 ต้นเสียงต่อมาไม่ไกลจากต้นเสียงแรก ถึงจะไม่อาจเรียกว่าคุ้นเคยนัก แต่เสียงเล็กๆที่แฝงความชื่นชมต่อชาริลในเกือบทุกถ้อยคำก็คงมีแต่ไรอัส เซนอกส์เท่านั้นนั่นแหละที่ทำได้


“ไม่ว่าอะไรก็เป็นได้ยาก  โดยเฉพาะกับคนโง่ที่ไม่รู้จักเลือกสักทาง....”


ชาริลเอ่ยเสริมคำ จังหวะเดียวกับที่เขารู้สึกปวดแปลบ  เมื่อตาลุงตรงหน้าบิดเปลี่ยนทิศทางของดาบอย่างรวดเร็วและฟาดมันลงตรงๆที่ข้อมือเขา


ดาบฝึกซ้อมเลื่อนหลุดจากมือ  ตามด้วยลูกถีบด้วยแรงไม่เบาที่ช่องท้องส่งให้ร่างที่เล็กกว่าลงไปคลุกฝุ่นของลานซ้อมเป็นครั้งที่สามของวัน


จุกจนต้องนอนพังพาบ  ทั้งแขนขวายังชาจนแทบไม่มีความรู้สึก  แตกต่างกับหูเจ้ากรรมของเขาที่ยังทำหน้าที่ของมันได้ดีสม่ำเสมอ


“....แถมไม่อาจเรียกได้ว่าดีสักอย่างอีกด้วย” 










“ดาบที่ดีย่อมต้องการผู้ใช้ที่ดีงั้นเหรอ?”


“ถ้าเจ้าจะแอบฟังคนอื่นคุยกัน  อย่างน้อยก็ควรมีปัญญาชนะคู่ต่อสู้ตรงหน้าให้ได้ซะก่อนนะเอลีท”  
ไรอัสว่าพลางฉีกยิ้มมุมปาก  ยื่นมือไปให้คนที่นอนอยู่เบื้องล่าง


เขามองตอบ คว้าข้อมืออีกฝ่ายแล้วลุกขึ้นยืน  ก่อนจะตอบกลับด้วยรอยยิ้ม 
“โทษทีไรอัส ชาริลไม่ได้สอนข้ามาแบบนั้น”  


คำตอบที่คู่สนทนาตรงหน้าเลิกคิ้วแล้วอดไม่ได้จะหันไปหาบุคคลที่ถูกพาดพิง  ร่างสูงในชุดสีดำสนิทสาวเท้าตรงมาทางพวกเรา  ก่อนจะเลยผ่านไปหาลุงของหมอนั่นโดยไม่แม้แต่ชะงักฝีเท้า  ถึงอย่างนั้นก็ยังกรุณาพอจะทิ้งคำตอบที่ทำให้ไรอัสอดไม่ได้ที่จะจิ๊ปาก


“ก็จริง...ข้าไม่ได้สอนมันมาแบบนั้น”


เอาน่า…..อย่างน้อย....วันนี้เขาก็ไม่ได้แพ้ไปซะทุกเรื่องหรอก



========================================


ภายใต้แสงนวลที่ไหววูบจากเปลวเทียน  เขามองกระดาษตรงหน้า  ชั่งใจว่าควรเขียนสิ่งเหล่านั้นลงไปหรือไม่
หมึกสีดำซึมตัวลงภายใต้แผ่นบางๆสีขาว  เขามองมันที่ค่อยแห้งลงสนิท จากนั้นก็ถอนหายใจ
"ช่วยไม่ได้  ก็ข้าดันอยากได้เองนี่นา"
ปากกาถูกจับขึ้นจุ่ม 'หมึก'
จากนั้นข้อความก็ถูกเขียนลงไป.....



========================================








(กรุณากดขยายเพื่อให้สะดวกต่อการรับชมรายละเอียดภายใน(?)ค่ะ)







========================================


Event 1.4 : The sword and who holds it

สรุป

  • สรุปของปีนี้ ถ้าคุณเป็นคนโลภมากและเลือกอะไรไม่ได้สักอย่าง ก็เอาให้หมดแม่งทั้งสองอย่าง (นี่คือสรุปเหรอวะ)
  • ปีนี้สตอรี่ที่จริงมีเยอะพอดู รบกวนคนไว้หลายคน แต่ไม่ค่อยได้ปลดล็อกให้อ่าน (เพราะไม่มีเวลาจะเขียน) ขอยกยอดไปปีหน้านะ---
  • สำหรับใครที่อยากอ่านจดหมายฉบับเต็ม เชิญ ทางนี้ ค่ะ
  • ขอบคุณโคร่ามากๆสำหรับคำถามค่ะ ฟืดด (ทำให้เรามีการบ้านส่ง---)
  • ขอบคุณดาบทั้งสองคนที่โผล่มาในชีวิตเรา...คนนึงรู้ตัวอยู่แล้ว ส่วนอีกคน...ยังไม่รู้ตัวสินะ
  • จะไปตามจีบต่อปีหน้านะค---
  • ขอบคุณผู้ใช้ทั้งสองคนด้วยค่ะ /ยิ้มให้อย่างอบอุ่น
  • ขอบคุณเพื่อนอิซาคกับเพื่อนรอยที่อยู่ด้วยกันมา ปีนี้ทั้งคู่ไม่ได้อยู่ในสตอรี่หลัก แม้จะเอารอยเปิดหัวจดหมายก็ตาม
  • อย่างไรก็ดี....ปีหน้าสามหนุ่มจะกลับมาที่จุดโฟกัสใหม่น่ะนะ…
  • ขอบคุณหลิน ซาเวียร์รูมเมทผู้น่ารักที่คอยดูแลการใช้เวทคำสาปให้ ขอบคุณองค์หญิงเซรีนารี่ที่มาร่วมหัวจมท้ายในวิชาหัวใจกษัตริย์ ขอบคุณรุ่นพี่โครเซ่ ที่มาถกเวทมนตร์กับเราในห้องสมุด ขอบคุณเรร่า ที่สอนเวทลมขยับสิ่งของให้ ขอบคุณรุ่นพี่โทไบอัส รุ่นพี่อาร์ค อัมเบอร์ ที่ช่วยซ้อมดาบให้อย่างสม่ำเสมอ และขอบคุณคนอีกมากมายที่มาคุยกัน มีสตอรี่ที่อยากเล่นต่ออีกเยอะเลยค่ะ ขออภัยที่ดองโรลฮืออ /กราบรอบทิศ
  • ขอบพระคุณที่อ่านจนจบถึงตรงนี้ ลาไปทำทีสิสก่อน เจอกันการบ้าน(หรือ side story ครั้งหน้า)ค่ะ O Q /





[TOB] Pre HW 2 : Revielle



เอนทรีนี้เป็นส่วนหนึ่งของ

The Thief of Baramos fan commu

========================================

Aelith Wayne the Mercenary of Venol

For Profile

========================================






for larger presentation : click here



วันเสาร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2558

[TOB] EVENT1.3 : Lucid dreaming




(0)



สายลมพัดแรงปะทะผิวหน้าพร้อมกับการเคลื่อนไหวของปีกขนาดใหญ่ที่ด้านข้างลำตัว ภาพทิวทัศน์เบื้องล่างเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว  จากแนวเขาสูงเป็นสีเขียวของผืนป่า เป็นหมู่บ้าน ไร่นา และกลับเป็นป่าอีกครั้ง  ส่วนด้านบนเป็นท้องฟ้าสีครามที่ไม่แปรผันจากเดิมเสียเท่าไหร่  จะต่างก็แค่แสงของดวงอาทิตย์ที่เปลี่ยนไปตามเวลาและทิศของเส้นทาง สะท้อนกับเกล็ดละเอียดสีขาวเป็นประกายเรืองๆ

อันที่จริงลมแค่นี้ยังไม่จัดว่าแรงมาก เมื่อเทียบกับงานส่งของด่วนที่เขาเคยรับเมื่อครึ่งปีก่อน  งานที่ต้องรับ...ทั้งที่เขาบอกเจ้าของร้านมังกรขนส่งแล้วว่าตนสังกัดกองทหารรับจ้างของลุงมัน ไม่ได้เป็นลูกจ้างมัน  แต่กลับได้คำตอบเป็นคำกล่าวว่าข้าไปตกลงกับลุงจิกหัวเจ้ามาใช้แล้ว   แถมงานนี้เงินดีเสร็จเร็ว แกลบๆอย่างเจ้าไม่ควรงอแงเลือกงาน อะไรทำได้ก็ควรทำไป  

จะว่าไปเขาก็เพิ่งนึกได้ว่าตั้งใจกลับมาเตะมันสักทีหลังงานเสร็จ แต่เวลานี้คงไม่เหมาะเท่าไหร่  เพราะมืออีกฝ่ายกุมบังเหียนอยู่  และเขาก็ยังอารมณ์ดีเกินกว่าที่จะลุกขึ้นมาปล้นมังกร  เอลีทจึงเปลี่ยนใจเป็นออกปากถามแทน

“นักดาบ นักรบ ทหารรับจ้าง เด็กขัดเกล็ดมังกร เจ้าว่าข้าจะเป็นอะไรดีไรอัส”  

คนฟังเงียบไปครู่หนึ่ง  ครู่เดียวเท่านั้นก่อนตอบคำ  “ข้าว่าบุรุษปริศนาดอกไม้บาน”  

“ขืนพูดเรื่องนั้นอีกข้าจะถีบเจ้าตกมังกร” คนนั่งหลังพูดพลางแยกเขี้ยว  รู้หรอกว่าอีกฝ่ายไม่หันมาเห็น  แต่เขาเชื่อว่ามันคงเดาสีหน้าตนได้

เสียงหัวเราะดังผสานกับเสียงลมก้อง  “นี่ลูกชายข้าไม่ใช่ลูกสาวเจ้านะเอลีท  ส่วนเรื่องฉายา จะเลือกอะไรก็เอาสักอย่างเหอะ  แต่ข้าว่าเด็กขัดเกล็ดมังกรดูจะยากจนเกินฐานะเจ้าไปหน่อย”

“ข้าก็ยากจน  ยิ่งจ่ายค่าเรียนแพงหูฉี่นั่นก็ยิ่งแกลบ”

“คนยากจนที่ขี่มังกรจันทรามาโรงเรียนพระราชา” ศีรษะภายใต้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มพยักขึ้นลงก่อนเสริมคำตนเอง “ฟังดูเข้าท่ามาก”

"ทบทวนอีกทีนะไรอัส  เจ้ารับของจากชาริลมาส่ง  ส่วนข้าเป็นแค่เด็กติดมังกรมาด้วย"

อีกฝ่ายหัวเราะให้เป็นคำตอบ  "ไม่ต้องสนใจความจำข้าหรอก  เจ้าถามตัวเองเอาก็แล้วกัน"

เอลีท เวนน์ แยกเขี้ยวใส่คนขี่มังกรอีกรอบ  แล้วเลือกที่จะเงียบ  หันไปสนใจนกบนฟ้าซึ่งบินห่างออกไปด้านล่างนิดหน่อย

นกที่ทำให้คิดถึงคนอีกคน  คนที่ตั้งแต่เด็ก...เขาก็มักเห็นอีกฝ่ายรายล้อมไปด้วยปีกทั้งสีขาว น้ำตาลสลับดำ  คนที่ชอบถามเขาด้วยคำถามเดิมๆมาตลอดหลายปี  และเมื่อได้รับคำตอบเดิมก็จะมีท่าทางหงุดหงิดใจ  ล่าสุดเจอหน้าได้เพียงสามวันก็หายตัวไป  เหลือทิ้งไว้แค่นกพิราบหนึ่งตัวที่อยู่ๆก็เกือบจะฆาตกรรมตัวเองด้วยการพุ่งชนหน้าต่าง  พร้อมกับกระดาษสองแผ่นที่ผูกไว้ที่ขา

กระดาษบรรจุข้อความที่หลังจากอ่านจบ  เขาก็จัดการฉีกมันออกเป็นชิ้นๆโยนลงกองไฟ หนึ่งในนั้นคงเรียกได้ว่าเป็นข่าวสาร  ส่วนอีกอัน  ไรอัสบอกเขาว่ามันเป็นแค่ชื่อ...แค่คำนาม แต่เอลีทคิดยังไงก็เข้าใจว่ามันเป็นคำสั่ง

แค่ข้อความสั้นๆ  ไม่จำเป็นต้องเก็บหลักฐานใดๆเอาไว้  เขาก็จำได้ชัดเจนว่าข้อความบนนั้นเขียนไว้ว่าอย่างไร

ซีร์รัสซาร์ เอโมนิกซ์
เซรีนารี่ เอโมนิกซ์
เซเรน่า บารันเทีย
อัสซาด ออราเรียส
ฟีบี ออราเรียส
รอย ฮาเรล
ยารีอาห์ ลาเรนไนน์
อิซาคัส เฮอร์นันเดซ

และ

เอดินเบิร์ก

ก็จริงอยู่หรอก  ทั้งเขาและไรอัสต่างก็รู้ดี ว่าตาลุงนั่นตั้งใจให้มันมาส่งอะไร







aelith3.jpg
------------------------------------------------------------------------

หนึ่งวัน(และหนึ่งปีด้วย)สบายๆของนายเอลีท เวนน์

for Profile
------------------------------------------------------------------------

เช้าตรู่

ยามสาย

คล้อยบ่าย

เย็นย่ำ

ค่ำคืน

------------------------------------------------------------------------
สรุป
------------------------------------------------------------------------





-เช้าตรู่-



เสียงฝีเท้าม้าดังอยู่ไม่ไกลขณะที่เขากระตุ้น ‘ท่านหญิง’ ของตนให้ก้าวเหยาะๆจากคอกมายังสนามหญ้า  เช้าขนาดนี้มีคนจำนวนไม่มากที่มีโอกาสอยู่ในลาน  ถึงแม้จะเป็นเช้าที่สายกว่าปรกติไปเกือบครึ่งชั่วยามแล้วก็ตาม

มันคงไม่มีปัญหาอะไร  หากหนึ่งในคนจำนวนไม่มากนั้นจะไม่ได้กำลังควบม้าตรงมาหาเขา  คนที่พอเงยหน้าขึ้นมอง  เอลีท เวนน์ก็ได้แต่ส่งยิ้มแห้งไปให้  พร้อมยกมือข้างนึงขึ้นทักทายเมื่ออีกฝ่ายบังคับม้าให้หยุดที่ระยะเหมาะสมสำหรับการสนทนา

"อรุณสวัสดิ์รอย  เช้านี้อากาศดีนะ"

"เจ้าปล่อยท่านหญิงรอมาครึ่งชั่วโมง"  เป็นคำตอบรับอรุณอย่างไม่สนใจหัวข้อดินฟ้าอากาศ  พร้อมสายตาขุ่นๆจากรอย ฮาเรล เจ้าชายแห่งเจมิไน

ว่ากันตามจริงสายตาแบบนี้เอลีทก็ได้รับไม่บ่อย  เพราะนอกจากคำประกาศตนตั้งแต่แรกพบว่าอนาคตจะขึ้นเป็นกษัตริย์แน่นอน  รอย ฮาเรลก็ไม่ใช่คนเจ้ายศเจ้าอย่าง(เท่าไหร่)  ทั้งยังไม่ใช่คนโกรธง่าย  ถ้าหัวข้อพิพาทจะไม่ใช่ธุระอันใดที่เกี่ยวข้องกับม้า

แย่หน่อยตรงที่….ประเด็นวันนี้ชัดเจนว่าเกี่ยวกับม้า

“ข้าผิดเองที่ตื่นสาย”  จำเลยกลืนน้ำลายลงคอ เลือกเอ่ยเสียงอ่อนด้วยท่าทางสำนึกผิด

"เลี้ยงม้า เจ้าต้องใส่ใจนาง นางเป็นสัตว์ละเอียดอ่อน"  น้ำเสียงคนพูดเรียบกว่าเดิมเมื่อปล่อยบังเหียนแล้วยกสองแขนกอดอก  ขณะเดียวกับที่ม้าของอีกฝ่ายพ่นลมออกจมูกเหมือนเห็นด้วยกับเจ้านายตน

"ง่า...นั่นเจ้าบอกข้าแล้ว  และข้าเองก็ใส่ใจนางนะ" เขาว่าพลางลูบขนสีน้ำตาลของท่านหญิง...ดีใจนิดหน่อยที่นางยังคงยืนนิ่งเรียบร้อย  ก่อนยิ้มแห้งให้คนตรงหน้าอีกรอบ  ถามความเห็น  "เจ้าว่าข้าควรชดเชยยังไงให้นางดี?”

รอยนิ่งไปขณะจ้องมองเขากลับ มือขวาของคนตรงหน้าลดระดับมาลูบม้าของตัวเองเบาๆอย่างที่ชอบทำเวลาครุ่นคิด  ไม่นานก็ออกปาก  "วันหยุดพานางออกไปข้างนอกซิ นางคงอยากวิ่งเต็มฝีเท้า"  ว่าพลางพยักเพยิดไปรอบบริเวณ "ที่แค่นี้ แถมมีแต่คนกับอาคาร ไม่พอให้นางสนุกหรอก"

คำตอบที่เขารีบพยักหน้าเห็นด้วย หันไปเออออกับม้าของตน  "เป็นความคิดที่ดี จริงไหมท่านหญิง?" จากนั้นเงยหน้าขึ้นมาส่งยิ้มให้คู่สนทนา "ติดอยู่อย่างเดียว  ที่..ข้าไม่คุ้นทางสำหรับขี่ม้าเท่าไหร่"  

ท่าทางที่รอยมองมา  แล้วสุดท้ายก็เลือกที่จะถอนใจ "งั้นเราจะพาไป อย่างไรเสียก็ควรจะพามิสทรัลไปวิ่งบ้างอยู่แล้ว"

“เยี่ยมเลย" เขาปรบมือรับหนึ่งทีพร้อมรอยยิ้มกว้าง  "ว่าแต่...แล้วเจ้าคิดว่าข้าควรชดเชยอะไรให้รอย ฮาเรลที่อุตส่าห์มารอ  แถมยังจะเป็นผู้นำทางให้เสียด้วย?"

คำถามที่คนฟังเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ  ก่อนสีหน้าจะเปลี่ยนเป็นแบบที่คนเป็นเพื่อนเห็นอยู่บ่อยๆ  คือกระตุกยิ้มตอบกลับ  "แล้วทหารรับจ้างแห่งเวนอลมีอะไรมาเสนอเจ้าชายแห่งเจมิไนหรือเปล่าเล่า?"
คำทวนถามที่คนผิดซึ่งรออยู่ดีดนิ้วป้อก เสนออย่างใจกว้าง  "ขี่ม้าแข่งกัน  ข้าต่อให้คุณเจ้าชายออกตัวก่อน"  

ประโยคที่หากไปพูดกับคนอื่นคงถูกโกรธเพราะฟังอย่างไรก็เหมือนคำปรามาส  แต่คนตรงหน้าย่อมรู้ดีว่าไม่ใช่  เพราะมันเป็นการเอ่ยต่อให้จากปากคนไม่เคยแข่งชนะ แม้แต่ตอนที่เจ้าชายแห่งเจมิไนใจดี  ยกให้เขานำไปก่อนถึงนับสามแล้วก็ตาม
รอยตอบกลับคำนั้นด้วยสีหน้านิ่งๆ  ซึ่งเป็นอาการนิ่งที่ต่างกันลิบลับกับไม่กี่นาทีก่อนหน้า  "เอลีท เวนน์ เจ้าตื่นดีรึยัง หรือโดนสาวที่ไหนทิ้งมา"

"จะมีสาวที่ไหนกล้าทิ้งผู้ชายอย่างเอลีท เวนน์"  คนถูกถามเอ่ยกลั้วหัวเราะ  "และข้าก็ว่าตัวเองตื่นดีแล้ว….อืม...คิดว่านะ"

"คงเป็นไม่มีสาวไหนกล้าคบด้วยมากกว่า" ประโยคจิกกัดด้วยความรักมากขึ้นเรื่อยๆตามระดับความสูงของพระอาทิตย์และอารมณ์ดีๆของเจ้าตัว  ตามมาด้วยคำถามย้ำ  "จะแข่งด้วยจริงหรือ?"

"แข่งสิ  ไม่งั้นจะชวนทำไม"
"งั้นก็มา" รอย ฮาเรลเอ่ยพลางขยับม้าของตนให้ห่างไปเล็กน้อย  มือยกชี้ไปที่สุดสนามหญ้าไกลๆเพื่่อกำหนดกติกา "ขี่ไปที่ตรงนั้นแล้ววนอ้อมกลับมาที่คอกม้า ตกลงไหม?"

"ได้เลย" คนว่าง่ายเอ่ยรับด้วยรอยยิ้มกว้างก่อนชะงักไปนิดด้วยท่าทีเหมือนนึกอะไรได้ ออกปากถามตาใส "ตกลงว่ายังให้ข้าต่อให้ไหมรอย?"  

เจ้าชายตาเดียวส่ายหน้า อาจจะรวมๆทั้งคำปฏิเสธและความอ่อนอกอ่อนใจ "ไม่ต้องหรอก แข่งกันตามปกตินั่นแหละ"

มือของคนถนัดขี่ม้าขยับสายบังเหียน เพียงแค่นั้นม้าสาวก็จัดตัวเองอยู่หลังจุดเริ่มต้นเรียบร้อย

"เจ้านับซิ"
"แบบนั้นก็ได้”   

"5......4.....3 ........"

"และ 1"  

ว่าจบคำแบบคนตกวิชานับเลขกะทันหัน  แล้วทหารรับจ้างแห่งเวนอลก็ชิงเป็นฝ่ายกระตุ้นม้าออกวิ่งนำไป

เอลีทกระชับสายบังเหียนในมือ  มองเพียงทางเบื้องหน้า ไม่คิดจะรอ ไม่คิดจะหันหลังไปขอโทษขอโพยคนที่คงส่ายหัวอย่างระอาก่อนจะควบม้าตามมา  

ก็จะทำไปทำไมกันเล่า  ยังไงอีกแปบเดียวหมอนั่นก็จะเร่งฝีเท้าขึ้นมาเทียบ  แล้วแซงเขาไปได้อยู่ดี








-ยามสาย-



“เจ้าเก่งจริง เอลีท เวนน์...เก่งอย่าง” อีกฝ่ายนิ่งไปพักก่อนจะออกปาก “...สารพัดประโยชน์”

คำชมที่คนฟังได้ยินแล้วอดไม่ได้ที่จะหลุดหัวเราะ  เอ่ยทั้งๆที่ยังขำจนปาดน้ำตา

“เป็นเกียรติมากคุณหนูรีอาห์...ถ้าอยู่ด้วยไปนานๆเจ้าจะพบว่าข้ามีประโยชน์กว่านี้อีก”



ตอนที่พูดคำนั้นออกไป เอลีท เวนน์ก็ไม่ได้คิดว่าตนจะได้มีประโยชน์อีกครั้ง...ในลักษณะนี้หรอกนะ..

“เสร็จแล้วหรือ?”  เสียงเล็กๆเอ่ยถาม คงเพราะรู้สึกได้ว่าเสียงผิวปากอย่างสบายอารมณ์และการเคลื่อนไหวของมือคนด้านหลังหยุดลง  

“ทรงงามแล้ว เจ้าหญิงรีอาห์”  คนถนัดปากหวานตอบก่อนที่มือทั้งสองจะละจากเส้นผมของเจ้าหญิงคนงาม "วันนี้กระหม่อมเปลี่ยนทรงให้นิดหน่อย หวังว่าจะโปรด"

ยารีอาห์ ลาเรนไนน์ เจ้าหญิงแห่งเวนอลเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ก่อนมือเล็กบอบบางจะแตะไล่จากปลายผมตนเองขึ้นมาด้านบน  เส้นผมที่บริเวณศีรษะด้านหลังถูกถักสลับเป็นเกลียวซับซ้อนพาดไปอีกด้าน ก่อนจะรวมกันเป็นเปียหลวมๆที่ไล่ทิ้งตัวลงยังลาดไหล่ด้านขวาอย่างสวยงาม

“สวยจริง... เจ้านี่ยอดไปเลย”

ชายหนุ่มรับด้วยรอยยิ้มกว้าง  ทั้งคำชม...และเหรียญหนึ่งเหรียญที่อีกฝ่ายยื่นส่งมา

แหล่งรายได้ทุกวันคู่ของเขา  ถ้าเอดินเบิร์กจะอนุญาตให้แก้ฉายาอาชีพเสียใหม่ได้  บางทีเขาอาจควรเปลี่ยนจากทหารรับจ้างเป็นนายกำนัล

“เพลงเมื่อครู่ คุ้นหูจัง เอลีท.. ชื่ออะไรเหรอ?”
"หญิงงามกลางแสงจันทร์กระหม่อม" เขาเอ่ยตอบสบายๆพลางดีดเหรียญเข้ามือแล้วทำให้มันหายวับไป  "อาจทรงเคยได้ยินตามงานเทศกาล เป็นเพลงพื้นเมืองที่ดังทีเดียว"

“อ่า.. ว่าแล้วเชียว เราจำทำนองได้ลางๆ” คำตอบเรียบๆไม่ได้รับความสนใจจากทั้งคนกล่าวและคนฟัง  เพราะมันมาพร้อมกับมือเล็กๆที่คว้าหมับเข้าที่แขนของคนสูงกว่า  ก่อนผู้เป็นเจ้าหญิงจะถือวิสาสะโยกพลิกมันไปมา  ทั้งยังจ้องต่อราวกับมันเป็นสิ่งแปลกประหลาดอะไรสักอย่าง....เมื่อพบว่าไม่มีเหรียญสักเหรียญถูกทำให้หล่นลง

"ข้ากินมันไปแล้ว" คนยังใช้ฉายาทหารรับจ้างตัดสินใจเอ่ยให้ข้อมูล  พลางส่งยิ้มกว้างให้หญิงสาวที่จับมือขวาของเขาค้าง

ข้อมูลที่ทำให้ไหล่บางสะดุ้งเล็กๆ  รีบปล่อยมือ จากนั้นจึงเงยหน้าขึ้นมอง เอ่ยแก้เก้อด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

“ว่าอย่างนั้นจะให้เราจับเจ้าอ้าปากเหรอ สอนเราทีสิ เมื่อครู่เจ้าทำได้ยังไง?”
"จับกระหม่อมอ้าปากตอนนี้คงไม่ทันเพราะมันไหลลงไปในท้อง"  เขาตอบด้วยยิ้มหน้าตาย  ก่อนจะว่าประโยคต่อมาโดยไม่ทิ้งช่วงนานเกินไปนัก  "ข้าล้อเล่นน่ะเจ้าหญิง ส่วนเรื่องสอน…กลการเล่นแบบนี้หากรีบเปิดเผยคงไม่สนุก  ไว้ครั้งหน้าข้าจะทำให้ท่านลองสังเกตอีกทีก็แล้วกัน"
ร่างเล็กชะงักไปนิด ตามด้วยการผงกหัวเล็กน้อย  “.....ได้ วันมะรืนเราจะมาสังเกตอีก...  วันนี้ขอบคุณเจ้านะ”

"ด้วยความยินดีอย่างยิ่งกระหม่อม" เขาเอ่ยพลางวาดมือโค้งแล้วแตะไว้ที่หน้าอกด้วยท่วงท่างดงามพร้อมรอยยิ้ม  "ถ้าจะไม่ถือสาคำเตือนของนายทหารต่ำต้อย  ข้าคิดว่าควรจะรีบก่อนจะทรงไปสาย"

“อื้อ”  ร่างในชุดกระโปรงยาวถึงเท้าตอบรับ ลุกขึ้นยืนด้วยอารมณ์แจ่มใส   “ขอให้มีวันที่ดีนะ”  เจ้าหล่อนอวยพรด้วยรอยยิ้มพร้อมพยักหน้าให้  จากนั้นจึงหมุนตัวอย่างสง่างามสมกับเป็นเลือดขัตติยะ แล้วก้าวเดินจากไป

เอลีท เวนน์มองเจ้าหญิงแห่งเวนอลที่ย่างเท้าด้วยท่วงท่าสมบูรณ์พร้อม….ภาพที่ราวกับเคาะรูปประกอบตำราวิชาคุณสมบัติราชันออกมาแล้วปล่อยให้มันเดินไปตามระเบียง….พลางคิดในใจ

ถ้าเพียงรีอาห์จะสามารถก้าวเดินด้วยจังหวะคนปรกติได้….นางคงจะเข้าเรียนทันเวลา





-คล้อยบ่าย-



"สวัสดีอัมเบอร์"

"เอลีท….ไม่รู้เพียร์ซคิดยังไงเดินข้ามาเจอเจ้า ยังไงข้าก็แพ้"

"คนเดินหมากของเจ้าเป็นคนมีศรัทธา  และเจ้าก็หลบได้ดี"

"น่าเสียดายที่นัดนี้เป็นนัดเปิดกระดาน..."



เสียงโห่ร้องดังก้องไปทั่วทั้งสนามขณะที่ชายหนุ่มถือดาบยืนอยู่กึ่งกลางช่องตารางสีดำสนิท  พื้นที่ช่อง D4 ที่บัดนี้เขาได้สิทธิครอบครองโดยชอบธรรม  เพราะเพิ่งส่งเบี้ยดำตัวแรกของเกมออกจากสนาม

เทียบกับตอนเริ่มซ้อมดาบด้วยกันใหม่ๆ คงต้องบอกว่าอีกฝ่ายว่องไวขึ้นมาก ไม่เช่นนั้นคงหลบดาบแรกของเขาไม่พ้น  ในฐานะคนช่วยฝึก...นี่ควรถือเป็นเรื่องน่าภูมิใจ  แต่ก็เช่นเดียวกัน…หากความสามารถเป็นผลพลอยได้ของความขยันขันแข็ง  ข้อมูลของลูกศิษย์ก็เป็นสิทธิพิเศษของอาจารย์ผู้สอน

และเขาก็ไม่ได้มีนักเรียนเพียงแค่คนเดียว

ถึงแม้นักเรียนคนนี้...จะมีบางอย่างที่น่าสะกิดใจก็เถอะ

น่าเสียดายจริงๆนั่นแหละ....ที่ดันเป็นนัดเปิดกระดาน

เอลีท เวนน์เหลือบกลับไปมองตำแหน่งสำคัญของเกมบนปะรำพิธี  โคร่า คราวลี่ผู้ยึดตำแหน่งคนเดินหมากของปีหนึ่งปราสาทขุนนาง  หลังการเดินเบี้ยตามแผนการล้ำลึกที่ชวนให้คนลงแข่งแทบจะยืนหลับ  เขาหวังว่าชัยชนะแรกที่ไร้กลิ่นคาวเลือดชวนวิงเวียน  จะเพียงพอสร้างขวัญกำลังใจให้กับเพื่อนสาวคนงาม  

เบี้ยก็มีหน้าที่ของเบี้ย

โดยเฉพาะเบี้ยที่ยังอยากให้คนอื่นเห็นว่ายืนอยู่บนเกมกระดาน

เอาเถอะ….อย่างน้อย...การต่อสู้ตรงหน้าก็น่าดูไม่หยอก

ศึกไนท์ปะทะเบี้ยอยู่ห่างเขาไปแค่สองช่องตาราง  อิซาคัสบนหลังม้ากำลังประดาบกับเบี้ยของแผ่นดินประชาชน  ในมือเจ้าตัวเป็นเรเพียร์เล่มงามที่คุ้นมืออีกฝ่าย   แต่คงดีกว่านี้  ถ้าสิ่งที่หมอนั่นถืออยู่จะเป็นคทา

ชีวิตบางทีก็ไม่มีทางเลือกอะไรมากมายนัก

การต่อสู้ของผู้ใช้ดาบตัดสินผลโดยใช้เวลาไม่นาน  เขามองอิซาคัสยืดตัวตรงทันทีที่ร่างของคู่ต่อสู้ถูกส่งออกไปนอกสนาม  สีหน้าท่าทางของอีกฝ่ายเฉยเมยราวกับไม่มีสิ่งใดเกิดขึ้น  แต่เขาที่มองดูอยู่ย่อมเห็น  ทั้งช่วงเวลาที่คมดาบของเบี้ยดำปาดเข้ายังสีข้าง  และรอยด่างสีเข้มที่ค่อยๆเปรอะซึม

มันบาดเจ็บ

เจ้าของดวงตาสีม่วงราวกับจะรับรู้ว่าถูกจ้องมองจึงหันมาสบ...เพียงแวบเดียวก่อนจะเบือนหนีตรงไปข้างหน้า...ด้วยท่าทีหยิ่งทะนงไม่ต่างจากปรกติ

อวดดี บ้าศักดิ์ศรี

ก็สมกับเป็นอิซาคัส

ก็สมเป็นเฮอร์นันเดซ

เอลีท เวนน์หันกลับไปทางปะรำพิธี  คนเดินหมากของเขาไม่ได้มองลงมาในลานต่อสู้  ดูนางจะยังยุ่งกับกระดานเล็กแสดงตาหมากที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าตน

เบี้ยสี่แห่งปราสาทขุนนางมองภาพนั้นด้วยรอยยิ้มสดใส  แม้จะอยากถอนหายใจ

เอาเถอะ...ถ้าโคร่ากำลังตั้งใจอยู่   เขาจะแสดงให้เห็นว่าเชื่อในตัวนาง....ก็ได้  

ถึงนั่นจะไม่ใช่ความจริงแต่อย่างใด และเขายังแอบเสียดายอยู่นิดหน่อย  ที่แอช บาร์ตัน*ไม่ได้เป็นผู้คุมกระดาน

/*แอข บาตัน : NPC ปราสาทขุนนางคนหนึ่ง




-เย็นย่ำ-



ดวงอาทิตย์ลดระดับจนเกือบจมยอดเขา  ขณะที่ถ้อยคำโต้ตอบไร้สาระยังดังต่อเนื่องไม่หยุด...จากคู่สนทนาที่ใช้เวลามากกว่าปรกติในการเดินกลับปราสาทขุนนาง

"ระวังศาสตราจารย์จะโผล่มาข้างหลังไว้ล่ะเวนน์"  

“ก็นั่นแหละ" คนรับคำเอ่ยพลางกอดอกด้วยสีหน้าจริงจัง แล้วเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มในไม่กี่วินาทีต่อมา  

"แต่ด้านหลังของข้า  ไว้ใจให้เจ้าดูได้จริงไหมอิซาค"

คำถามที่เขาตั้งใจส่งไปให้  และแน่นอนว่าเพราะตั้งใจแบบนั้น  เขาย่อมมองเห็นชัดเจนดี  ถึงช่วงเสี้ยววินาทีที่อิซาคัส เฮอร์นันเดซเกือบจะนิ่ง  แล้วแก้ลำกลับด้วยเสียงหัวเราะพร้อมรอยยิ้มขัน  "ถ้านายไว้ใจ  ฉันอาจจะยอมสละเวลาไปดูให้ก็ได้นะ"

คนฟังไม่พูดอะไร  เพียงตอบกลับด้วยการแย้มยิ้มให้อีกฝ่ายเหมือนปรกติ  "ต้องรบกวนเจ้าแล้วล่ะอิซาค"

ดวงตาสีเขียวจ้องมองดวงตาสีม่วงของเพื่อนตรงหน้าที่หรี่เล็กลงนิดหน่อย  ตามด้วยคำถามใหม่จาก’คนเหมือง’ อย่างสมกับที่มันเป็นหนึ่งในผู้ชิงตำแหน่งท็อปวิชาท้องพระคลังพระราชา  "แล้วฉันได้อะไรล่ะ?"
“ทำดีไม่ควรหวังผลตอบแทน"  คนทำงานแลกค่าจ้างเป็นอาชีพเอ่ยสอนพลางหัวเราะ  แล้วเสริมหน้าตาเฉย  "แต่ก็เหมือนจะมี  เพราะเจ้าก็จะได้เพื่อนที่ทั้งหน้าตาดี นิสัยเยี่ยม แถมโคตรเก่งระวังหลังให้เจ้าเหมือนกัน"

คำตอบหลงตัวเองไม่เปลี่ยนทำเอาคนฟังเบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย ส่ายหน้าเบาๆด้วยท่าทางอ่อนใจทั้งที่ยังขบขัน  "ไม่อายปากเลยนะนั่นเวนน์ นายนี่หน้าไม่อายจริงๆ….”  

ก่อนศีรษะใต้เส้นผมสีทองซีดนั่นจะหยุด...จ้องมองตรงมา  ริมฝีปากเหยียดเป็นรอยยิ้ม  

“แต่…..เอาแบบนั้นก็ได้….."  อิซาคัสเอ่ยด้วยน้ำเสียงเนิบช้า ราวกับจะจงใจเน้นย้ำคำพูดของตน  

"ตราบใดที่นายยังระวังหลังให้ฉัน ฉันก็จะดูแลหลังให้นาย"

ถ้อยคำแบบคนไม่ยอมขาดทุนที่นายทหารรับจ้างแห่งเวนอลฟังแล้วก็ยิ้มกว้างรับ  เอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงใจไม่ผิดไปจากทุกที  
ก็แค่คำโกหกลื่นไหล….ที่เขาใช้ได้คล่องปากเสมอมา
"ตกลงตามนั้นอิซาค แล้วเจ้าจะพบว่าข้าไม่เคยทำให้ใครผิดหวัง"  

"เอาสิเอลีท เวนน์ ฉันจะรอดู"






-ค่ำคืน-



ท้องฟ้าคืนนี้ไร้ดวงดาว มีเพียงดวงจันทร์ข้างขึ้นสว่างที่หลบลี้เป็นพักๆใต้เงาเมฆสีทะมึน  ท่ามกลางเวลาดึกสงัดที่ควรจะมีเพียงเสียงของนาฬิกาตีบอกเวลาเที่ยงคืน กลับยังมีเสียงไม่ได้ศัพท์หลากหลายลอยมาตามสายลม  บ่งบอกว่าเอดินเบิร์กไม่ได้หลับใหลเหมือนเช่นทุกวัน  คงเป็นเพราะนี่เป็นคืนพิเศษ...คืนก่อนหมากกระดานเกียรติยศนัดสุดท้ายของปี


หากแต่ถึงจะน่าตื่นเต้นสักแค่ไหน  ค่ำคืนก็ยังเป็นแค่ค่ำคืน


เหมือนกับที่ความฝันยังเป็นแค่ความฝัน


โรงเรียนพระราชาเอดินเบิร์ก สถานที่ที่สงบสุขเหมือนกับความฝัน


ความฝันที่ทำให้โจรเป็นเพื่อนกับพ่อค้า  เจ้าชายนั่งดื่มร่วมโต๊ะกับนักฆ่า  เจ้าหญิงมีทหารรับจ้างสอนวิธีถักเปีย


และความสงบที่มากพอจะเปลี่ยนการต่อสู้ให้กลายเป็นเพียงเกมกีฬา


เกมที่คงต้องมี...เพื่อให้เหล่าเด็กน้อยไร้เดียงสาได้รู้จักความโหดร้ายของโลก  รู้จักความเจ็บปวดของบาดแผล  ความกระหายในชัยชนะ  และรสชาติแห่งความพ่ายแพ้


ความพ่ายแพ้ที่ปรานีมากพอที่จะไม่เกี่ยวพันใดๆกับความตาย


บางทีเขาก็ไม่แน่ใจเท่าไหร่  ว่าหากแบ่งแยกสองสิ่งนี้ออกจากกัน  การต่อสู้นั้นจะมีประโยชน์ที่ตรงไหน


แต่นั่นคงเป็นสิทธิพิเศษของความฝัน





ปีกสีน้ำตาลเข้มจนเกือบดำปรากฎขึ้นเบียดบังแสงจันทร์ที่ส่องสว่างในความมืด  จากแรกเพียงหนึ่งเดียวแตกเป็นสี่เงาที่ราวกับมีชีวิต  ก่อนจะแยกตัวกันออกไปยังหอพักทั้งสี่ของโรงเรียนพระราชา   เขามองเงาหนึ่งที่ขยับมาใกล้เข้าเรื่อยๆ  ไม่นานปีกนั้นก็ตีร่อนลงอย่างไร้เสียง  กรงเล็บทั้งสองกางเกาะท่อนแขนที่สวมถุงมือยกขึ้นไว้รอท่า
 

การเตรียมการที่พรักพร้อม  เพราะท่ามกลางเสียงโห่ร้องชิงชัยของการแข่งขันในสนาม เขาเห็นปีกที่คล้ายคลึงกันบินวนเหนือน่านฟ้าโรงเรียนมาตั้งแต่บ่ายเมื่อวาน  


การมาถึงของความจริง


"ไม่ได้เจอกันนานนะอิสคานดาร์"  เขาเอ่ยทักทายเหยี่ยวตัวใหญ่ด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาเท่าเสียงกระซิบ ไม่อยากรบกวนใครก็ตาม….ที่อาจจะเหนื่อยมาทั้งวันและกำลังฝันดีอยู่ในห้องให้ต้องตื่นมาหงุดหงิดใจ


โดยเฉพาะเมื่อที่ๆเขายืนอยู่  ไม่ใช่ที่เหมาะสมเท่าไหร่


...ระเบียงนอกห้องนั่งเล่นรวมชั้นสี่ของปราสาทขุนนาง


กลักที่เท้าภายใต้ขนปีกถูกคนเคยคุ้นขยับเปิดออก  ภายในท่อกลวงเล็กๆนั้นว่างเปล่า ไม่มีแม้เศษกระดาษข้อความ


ไม่มีข่าวสารที่ต้องรับรู้  ไม่มีคำสั่งที่ต้องกระทำ


เอลีท เวนน์หัวเราะอย่างไม่มีเสียงในความมืด  ก่อนจะหยิบกระดาษแผ่นเล็กที่ม้วนเตรียมไว้สอดลงไปแทนแล้วปิดสลัก


"ฝากบอกชาริลด้วยว่าข้าคิดถึง"  


น้ำเสียงนั้นแผ่วเบาเช่นเคย  ก่อนร่างประดับขนปีกนั้นจะร่อนออกไปทางหน้าต่าง  รวดเร็วพอๆกับตอนขามา









hw1-2.jpg




-ค่ำคืน(อีกนิด)-



ภายในความมืดของห้องหัวหน้าชั้นปีหนึ่งปราสาทขุนนาง

เอลีท เวนน์ที่เพิ่งกลับมาถึงถอดถุงมือที่สวมไว้ออก
ยกแขนสองข้างขึ้นบิดขี้เกียจเสียทีนึง ก่อนจะทิ้งตัวลงบนเตียง

ได้เวลาเข้านอนอีกครั้งแล้ว

นอน....เพื่อตื่นขึ้นมาใช้ชีวิตอีกครั้งในความฝัน

เพราะมีแต่ผู้รู้ตื่นอยู่  ที่จะมีโอกาสใช้ประโยชน์จากแดนมหัศจรรย์

ดินแดนที่ความพ่ายแพ้อาจยังไม่ปลิดชีพผู้ใด  และมิตรภาพราวกับจะมีอยู่จริง








END of EVENT 1.3

LUCID DREAMING



-----------------------------------------------------------------------------------------



(อันนี้แถม)

ไรอัส เซน็อกส์กำลังอ่านสรุปรายงานการขนส่งเหล็กของร้านสาขาหลักอยู่พอดี  เมื่อตอนที่ไอ้คุณหุ้นส่วนร้านสาขาย่อยกลับจากการไปศึกษาเล่าเรียนที่เมืองไกลมาถึงบ้าน  และทักทายเขาอย่างน่ารักด้วยการถีบตกเก้าอี้

“เจ้าถีบข้าทำไม(วะ)?” เจ้าของร้านเอ่ยประท้วงจากเบื้องล่าง

คำถามที่อีกฝ่ายตอบด้วยการยักไหล่ข้างเดียว  “โทษทีไรอัส ข้าจำเหตุผลไม่ได้หรอก  รู้แค่ว่าต้องทำ”

ผู้ถูกประทุษร้ายยังไม่ทันได้ลุกขึ้นมาอ้าปากด่า  อีกฝ่ายก็เผ่นหายไปยังห้องด้านหลัง ใช้เวลาแปบเดียวก่อนจะกลับออกมาพร้อมชุดขี่มังกรเต็มยศของเจ้าตัว  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่ากระดี๊กระด๊าจะรีบไปหาลูกสาวมัน

“ไปร่ำเรียนมาหนึ่งปี  เจ้าไม่เห็นดูต่างจากเดิมตรงไหน”  ไรอัสตั้งข้อสังเกต

“นอกจากมีความรู้เพิ่มมาอีกนิด หล่อขึ้นอีกหน่อย ข้าก็ยังเป็นข้า  ไม่ได้เปลี่ยนอะไร”  คนหัวเทาส่งยิ้มกว้างมาให้พร้อมตาสีเขียวสดใส  

ท่าทางที่ไรอัสส่ายหน้า  เก็บเอกสารที่ร่วงขึ้นมาก่อนจะทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้เรียบร้อย  ไม่ได้กล่าวตอบอะไร

เขาไม่ได้บอกมันหรอก  ว่าแบบนั้น...อาจจะไม่ใช่เรื่องดี


-----------------------------------------------------------------------------------------



Event 1.3 : Lucid dreaming
Lucid dreaming is the ability to consciously observe and control your dreams.

สรุป

  • มาเรียนเอดินเบิร์กอย่างน่ารัก
  • ใช้ชีวิตนักเรียนอย่างน่ารัก
  • มีเพื่อนอย่างน่ารัก
  • อวดเพื่อนให้ผู้ปกครองฟังอย่างน่ารัก
  • จบหนึ่งปีอย่างน่ารัก
  • ปีหน้า...คงจะยิ่งน่ารักแน่ๆเลย XD
  • ขอบคุณคนอ่านที่อ่านจบมาถึงบรรทัดนี้อย่างน่ารัก  แม้คนเขียนจะบรรยายได้ไม่รู้เรื่องอะไรสักนิดก็ตาม /กราบอย่างน่ารักสามที

สรุปชีวิตหนึ่งปี
(แบบดีๆก็ได้...จากการบ้าน)

  • เข้ามาเรียนเอดินเบิร์กเพราะถูกผู้ปกครองสั่งให้มา
  • มาอยู่ที่นี่ก็มีชีวิตที่ดี  เพราะคนรอบตัวน่ารัก  แถมชีวิตในหอปราสาทขุนนางก็ออกจะสบาย ศิวิไลซ์กว่าสมัยก่อนเป็นอันมาก
  • ถ้าไม่นับว่าห้องอาหารกริฟฟินอาหารโคตรแพง
  • ถ้าให้ตอบว่ามาที่เอดินเบิร์กแล้วได้อะไร  มันคงตอบเต็มปากเต็มคำว่า “เพื่อน”
  • ส่วนความรู้ก็พอตอบได้  อ้อมๆแอ้มๆนิดหน่อยน่า
  • เพื่อนที่สนิทที่สุดตอนนี้คืออิซาคัส เฮอร์นันเดซ  และรอย ฮาเรล  
  • ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวจะตั้งใจให้เป็นอย่างนั้น
  • มีรายได้ประจำจากการถักเปียให้เจ้าหญิงยารีอาห์ ลาเรนไนน์  โดยจะรับงานทุกเช้าวันคู่ (ส่วนวันคี่หนูต้องไปถักเองนะคะ)
  • ซึ่งก็ดูจะตั้งใจให้เป็นอย่างนั้นอีกนั่นแหละ
  • เหตุผลที่ตั้งใจแบบนั้นยังไม่เปิดเผย
  • เนื่องจากมีดีอยู่ไม่กี่อย่าง  จึงมีโอกาสซ้อมดาบให้คนหลายคน ซึ่ง อัมเบอร์ คริมสัน ก็เป็นหนึ่งในนั้น
  • มันก็เป็นการแลกเปลี่ยนที่เท่าเทียมกันไง
  • การหยอดขนมจีบ โคร่า คราวลี่ กลายเป็นกิจวัตรประจำวันพอๆกับการไปขี่ม้าตอนเช้า
  • แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะเห็นดีเห็นงามกับนางไปทุกอย่างแต่อย่างใด
  • ที่จริงมีเพื่อนดีๆอีกมากมาย รูมเมทก็น่ารักมาก  เพื่อนปราสาทขุนนางก็เอนจอยกันดี  รุ่นพี่ที่คุยไว้ก็เยอะ รบกวนไว้ก็ยิ่งเยอะ แต่ผปค.ไม่รู้จะใส่ตรงไหนและปั่นไม่ทัน (ขออนุญาตไปบวกอีกครั้งในอนาคตนะคะ ฮืออออ)
  • จบด้วยความเวิ่นเว้อ….ที่เราไม่ขอสรุปอะไร
  • นอกจากเป้าหมายและความรู้ที่เพิ่มขึ้นแล้ว….จริงๆเอลีท เวนน์ก็แทบไม่เปลี่ยนไป
  • ออ....มีม้าตัวหนึ่งชื่อ 'ท่านหญิง' ส่วนมังกรสุดที่รักมีชื่อว่า 'ลูกสาว'
  • เซนส์การตั้งชื่อของมันน่ะนะ...


az.jpg


-----------------------------------------------------------------------------------------