หน้าเว็บ

วันพฤหัสบดีที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2556

[DGL] Airitech I


 From Gealach lan : the fullmoon rites






(1)


Airitech








กลิ่นของป่าเปลี่ยนไป


เขาหยุดเท้านิ่งลงเมื่อประสาทสัมผัสรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น  จมูกของเขาไม่ได้ไวนัก  เนื่องจากส่วนเสี้ยวที่ช่วยในเรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเลือดอื่นๆที่ไหลเวียนในร่างกาย  และเมื่อนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปรกติไป  ย่อมหมายถึงสาเหตุของมันคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากแล้ว  จนอาจจะเรียกได้ว่ามากเกินไป…..   


แต่เช่นนั้นก็ดี…...ก็เขาตัดสินใจแบบนั้นเองไม่ใช่หรือ


เขาหลับตาลง  สดับฟังเสียงเสียดสีของใบไม้ที่ต้องลมดังประสานกับเสียงอื่น  กิ่งไม้ลั่นกรอบแกรบจากการถูกเหยียบย่ำ  เปลือกไม้ถูกกระเทาะจากอะไรบางอย่าง  ถึงอย่างนั้นมันก็เบาเพียงพอจะตัดสินได้ว่านักล่าที่ตรงเข้ามานั้นเป็นผู้มีฝีมือ   สอง..สาม..สี่  เขานับเลขในใจ  ขณะที่เท้าปักหลัก  การเดินทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว  บัดนี้เขาไม่คิดจะขยับไปที่ใด


...


เสียงนั้นหยุดลงไป  กลายเป็นความเงียบ  เปลือกตาที่ปิดพับถูกสั่งให้ลืมเปิดขึ้น  เขากลอกมันไปรอบๆตัว  ดวงจันทร์แหว่งวิ่นฉายแสงเหลืองทออ่อนลอดผ่านใบไม้หนาลงมาสู่พื้น  เห็นเป็นเงาตะคุ่มปกคลุมอยู่ทั่วไป


ภาพป่ารอบกายเขาไม่มีสิ่งใด…


แน่นอนว่า...นั่นเป็นเพราะการรับรู้ทางตาของเขาไม่ดีพอ


ก้อนเนื้อในหน้าอกเต้นรัวเร็วเสียจนรู้สึกเจ็บ  เขาพยายามสะกดมันไว้  สูดลมหายใจเข้าลึก..ช้า….ก่อนผ่อนมันออกอย่างควบคุมได้เป็นครั้งสุดท้าย  เงาไม้ขยับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากหางตาซ้าย  ตัวเขาหันไปหามันตามสัญชาตญาณ  เสียงพลั่กดังขึ้นขณะเขาไอรุนแรงเมื่อแรงกระแทกที่กลางท้องดันตัวเขาไปติดยังต้นไม้ด้านหลัง  ศีรษะโคลงจากแรงสะท้อนจนมึนชา  ภาพที่เห็นจึงดูมัวซัวไม่ชัดเจน


‘ง่ายดายแค่นี้..เห็นไหม?’  เงาหนึ่งออกเสียงแปร่งปร่าดังเข้าในหู  เขานิ่วหน้าลง  ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการแปลความมัน  


‘เนื้อยังตื่น’  เสียงที่ต่างดังจากอีกทางดูร้อนรนกว่า


‘ก็ทำให้หลับเสีย’


สิ้นคำ วัตถุที่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็พุ่งเข้าสู่ใบหน้า  เปลี่ยนภาพของเงาสูงใหญ่ให้กลายเป็นสีขาวสลับดำ    
ร่างเขาเอียงร่วงหล่น  สัมผัสแข็งและกลิ่นดินชื้นๆลอยเข้าจมูกปนกับกลิ่นเลือด ในหัวราวกับพายุที่หมุนวน


จุดจบนั้นง่ายดายเช่นนี้เอง…...


แล้วโลกทั้งใบก็ดับวูบลง








เจ็บ……..


คำนั้นกรีดร้องบอกเขาเป็นอย่างแรกเมื่อรู้ตัวตื่น  มันดังราวกับฟ้าผ่าในโลกที่ยังคงมืดสนิท  อาการไม่สบายตามตัวไล่ไปมาทั่วร่างราวกับไฟแผดเผา  ที่แย่ที่สุดคงเป็นหัวที่มึนชา  มันเจ็บร้าวไล่ลงไปตามลำคอและแผ่นหลัง  แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดเกร็งจนไม่อยากทำอะไร


ความตายเป็นเช่นนี้เองหรือ?


ชั่วขณะเขารู้สึกโกรธขึ้นมา  เรื่องเล่าสมัยเก่าย้อนกลับมาในห้วงความคิด  เขาเคยได้ยินผู้มีอายุเก่าแก่เอ่ยตอบ  ภูตพรายขับลำนำ  หลังความตายนั้นงดงาม  เบาสบาย  ไม่มีความเจ็บปวดกล้ำกราย  ไม่มีทุกข์ใด…..


ภูตพรายเป็นเผ่าโกหกโดยสันดาน  ถูกกล่าวถึงดังนั้นมาแต่โบราณ…...เขาโง่เองที่เชื่อพวกนาง


ความขัดเคืองเรียกกำลังวังชา  มันทำให้เขาขยับตัวอย่างอึดอัดราวกับฟืนเติมลงเชื้อไฟ  เมื่อนั้นเขาจึงได้รู้สึกว่ามือของตนไม่อาจบังคับได้ดังใจ  มันถูกผูกตรึงไว้ด้วยสิ่งใดบางอย่างที่รัดแน่น  ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งปวดร้าว..บาดลึกลงไป


ความตายมีพันธนาการด้วยหรือ?


ความฉงนเรียกให้เขาหันไปหาแขนของตน  แต่เขามิอาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากความมืดดำสนิทของราตรีกาล


เช่นนั้นเขาจึงลืมตา…...






ภาพหลังม่านตาหนาหนักมิใช่ผืนดินแห่งไฟ  กลิ่นกำมะถันพร้อมเถ้ากระดูก  หรือแสงเจิดจ้าพร้อมทุ่งหญ้าเขียวขจีล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาพันธุ์  แต่เป็นดวงตาใสกลมโตและหูสองข้างที่กระดิกไปมา


ชั่วขณะเขาขยับตัวเพื่อจะหยิบมีดจากข้างในเสื้อคลุมตามสัญชาตญาณ  แต่มือกลับถูกหยุดไว้ด้วยความรู้สึกปวดแปลบอีกครั้ง  มันเตือนให้เขารู้ว่าสิ่งที่รู้สึกเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน   เมื่อหันไปมองจึงพบว่าแขนทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา  มันบาดข้อมือเสียจนมีเลือดซึม  คงเป็นตอนที่เขาพยายามกระชากมันออกตอนยังไม่รู้สึกตัวดี  ปลายอีกด้านของเชือกพันกับโขดหินที่ห่างออกไปไม่ไกล  เรียบง่าย..ทว่าดูมั่นคงแข็งแรง


อย่างน้อยสิ่งหนึ่งก็ชัดแจ้ง….เขามิได้ตาย  หากแต่อยู่ในถ้ำหินกว้างสีเทาดำ  


และใช่….เขามิได้อยู่ที่นี่เพียงตนเดียว


เขาละสายตาจากมือที่ถูกพันธนาการของตนไปยังร่างที่โผล่ออกมาจากโขดหินห่างไปไม่ไกล  แม้จะกระโดดหนีทิ้งระยะออกไปสักสามสี่ช่วงตัวแล้ว   แต่เจ้าของหูตรงหน้าเมื่อครู่ก็ยังโผล่หัวและดวงตากลมภายใต้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มนั้นมองมา  สีหน้าตื่นเต้นราวกับกำลังดูสิ่งประหลาดน่าสนใจ  


เขาจ้องตอบ  เพื่อจะเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ทำอะไรนอกจากมองกลับมาตาใสๆ  หางสีเข้มแกว่งไปมาอย่างใคร่รู้  เห็นแบบนั้นแทนที่จะรู้สึกอย่างอื่น  กลับทำให้เขาคิดถึงอดีตอันไกล  จึงแสร้งลองขมวดคิ้วดุหนักๆเข้า  ออกเสียงแฮ่ไปเสียทีนึง


เท่านั้นร่างเล็กๆก็สะดุ้งโหยง  ขยับปากส่งเสียงร้องตะโกน   ก่อนจะออกวิ่งไปยังทิศทางที่มีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามา  


“ท่านพ่อ  มนุษย์ปลอมลืมตาแล้ว!”   


เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น  แต่บัดนี้รู้สึกเหมือนมุมปากแห้งผากขยับเหยียดไปเล็กน้อยเสียทีนึง








“เจ้าเป็นตัวอะไร?”


เสียงที่เอ่ยถามดังกังวาน...ทุ้มและหนักแน่น  มีอำนาจอยู่ในนั้นมากพอจะบ่งบอกได้ว่าผู้พูดคงเป็นผู้มีความสำคัญและเคยชินกับการออกคำสั่งแก่ผู้คน  


เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา  เมื่อเจอกับอำนาจที่เหนือตน  แม้จะตัดสินใจทิ้งชีวิตแล้ว  ความกลัวก็ยังคงปรากฎขึ้นอยู่นั่นเอง  ให้เมื่อรับรู้ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองในใจ


เขาหายใจเข้าลึก...ทบทวนความคิด....ข้าตั้งใจจะตายมิใช่หรือ  ตั้งใจขนาดนั้นแล้วควรกลัวอะไร….   เขาเอ่ยบอกตนเองซ้ำไปมาราวมนต์สะกด  และยึดมันเป็นแรงเหนี่ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง  สบเข้ากับดวงตาสีทองที่จ้องตรงมา


“เจ้าไม่ใช่มนุษย์  เป็นตัวอะไร?”  น้ำเสียงเร่งเร้าถามดุดันยิ่งขึ้นเมื่อต้องเอ่ยเป็นคำรบสอง  คิ้วหนาคู่นั้นขมวดลงขับให้ใบหน้าเข้มยิ่งดูน่าเกรงขาม  สันกรามแข็งแกร่งดึงริมฝีปากให้เรียบสนิท  เมื่อรวมกับแววตาดุกร้าวก็สะกดเรียกความหวาดหวั่นของผู้พบเห็นให้ตื่นขึ้นมา  แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิ้วสักนิ้วเดียว


รวมถึงหูหรือหางสีเข้มนั่นด้วย


แต่มันไม่สลักสำคัญหรอก  คำถามนั้นต่างหาก….


“เจ้า…..รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่มนุษย์?”   เสียงที่ออกจากปากเขาแหบแห้ง  บ่งบอกว่าคงไม่มีน้ำสักหยดล่วงผ่านลำคอมานานพอสมควรแล้ว


“กลิ่นเลือดของเจ้าไม่ใช่ของมนุษย์”   อีกฝ่ายตอบกลับง่ายดาย  “มีกลิ่นที่ข้ารู้จักคุ้นเคย  แต่มันปนเปวุ่นวาย  เพราะฉะนั้นจงตอบมาเสียตัวประหลาด  เจ้าเป็นสิ่งใด?”


ตัวประหลาด…..เขาทวนคำนั้นในใจ  รู้สึกเหมือนแผลลึกภายในถูกกรีดลงซ้ำ  คำเก่าที่คิดว่าได้ยิน..จนด้านชา...ยังทำให้เจ็บปวดจนน่าขัน    


เขาหยุดนิ่ง...เพียงครู่เดียว...ตามด้วยการผงกศีรษะขึ้นลงเป็นการตอบรับ  “ข้าเป็นเสี้ยว…..หนึ่งในนั้นคือหมาป่า”  เขาตอบอย่างไม่ปิดบัง  อันที่จริงการทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น   คำตอบเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว  และเขารู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ย่อมทราบ  กลิ่นของทุกอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว  โดยเฉพาะกับเผ่าหมาป่าที่มีความสามารถสูงในการแยกแยะมัน


หรือถึงไม่ใช่…..คำพูดสื่อสารของพวกเขาย่อมบ่งบอกตัวมันเอง


ภาษาของหมาป่า….เรียนรู้ด้วยสัญชาตญาณแต่กำเนิด  บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์  แม้เขาไม่ได้ใช้นาน  เนื่องจากไม่มีผู้ที่จะได้ใช้สนทนาด้วยจนเกือบลืมสิ้น  หากแต่ถึงจะทิ้งร้างไป  มันยังคงสลักในเลือดเนื้อ  เด่นชัดในความทรงจำ


ยังย้ำอยู่ว่าเขาเป็นส่วนเสี้ยวของสิ่งมากมาย  เป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้ใด…..


ความเงียบกัดกินเวลาหลังคำตอบของเขา  แต่เพียงไม่นานนัก  เพราะผู้ยืนอยู่เหนือร่างเขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นกังวาน


“มอคเชร่าไม่ทำร้ายหมาป่าด้วยกัน  เจ้าไม่ใช่เนื้อที่เราจะกิน”  ร่างสูงเลื่อนมือขึ้นมากอดไว้ที่อก  สายตาพินิจมองลงมา  สีทองประกายคู่นั้นไม่ได้ทำให้สั่นกลัวเหมือนทีแรก  แต่ยังคงความน่าเกรงขามไม่เปลี่ยน  “มอคเชร่ากับหมาป่าล้วนเป็นมิตรกันยาวนาน  ข้าจะทำตามประเพณี   แต่จงรู้….ข้าจะดูไว้  หากเจ้าเป็นภัยต่อเผ่า  ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าด้วยตนเอง  จำคำนี้เอาไว้ให้ดี”


เขากำลังจะพยักหน้ารับเมื่อร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้  เงื้อกรงเล็บขึ้นเหนือตัวเขาก่อนจะตวัดมันลงมา


...


แขนทั้งสองข้างตกลงมาอยู่ข้างลำตัว  ไร้ซึ่งเชือกที่ผูกรั้งไว้แล้ว  เขาจึงได้ขยับมือที่เป็นอิสระของตนเอง


“ขอบคุณ…..”  ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าเขาจะหาคำพูดตนเองเจอ


ร่างสูงใหญ่เพียงมองเขาด้วยหางตา  ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทางปากถ้ำ  เขามองตามหางฟูๆสีเข้มจนเกือบดำที่แกว่งไกวเบาๆตามจังหวะการเดิน  และเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเหม่อไปเมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง


“ตัวประหลาด  เจ้าเรียกตนว่าอะไร?”   น้ำเสียงนั้นยังคงดุ  อาจจะเพราะรู้ว่าเมื่อครู่เขากำลังมองอะไร


เขากลืนน้ำลายลงคอ…..คิดคำนวณบางอย่างในใจ  เขาอาจตอบไปว่าเขาทิ้งชื่อไปแล้ว  เพราะนานเหลือเกินที่ไม่มีใครเอ่ยมัน  แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด


“ไอริเทช”  


หมาป่าเพียงพยักหน้า...เล็กน้อย  แล้วสาวเท้าออกไป ทิ้งเขาไว้ลำพังในถ้ำหินเยียบเย็น 







4 ความคิดเห็น:

  1. มันจะมีต่อใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่มั้ยยยยยยยยยย /เขย่าบล็อกรัวๆเผื่อมันจะหลุดตอนใหม่ออกมา

    ตอบลบ
  2. ไม่ระบุชื่อ13 ธันวาคม 2556 เวลา 08:42

    จะมีต่อใช่ไหมคะพี่เกดดดดดดดด/ ปูเสื่อรออออ

    ตอบลบ
  3. ไอริเทชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชช

    เอาตอนต่อมานะ เอามานะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ; [] ; !!!!!!

    ตอบลบ