From Gealach lan : the fullmoon rites
(1)
Airitech
กลิ่นของป่าเปลี่ยนไป
เขาหยุดเท้านิ่งลงเมื่อประสาทสัมผัสรู้สึกได้ถึงเรื่องนั้น จมูกของเขาไม่ได้ไวนัก เนื่องจากส่วนเสี้ยวที่ช่วยในเรื่องนั้นดูเหมือนจะไม่โดดเด่นเมื่อเทียบกับเลือดอื่นๆที่ไหลเวียนในร่างกาย และเมื่อนั่นคือเหตุผลที่ทำให้เขารู้สึกได้ว่ามีสิ่งผิดปรกติไป ย่อมหมายถึงสาเหตุของมันคืบคลานเข้ามาใกล้ตัวมากแล้ว จนอาจจะเรียกได้ว่ามากเกินไป…..
แต่เช่นนั้นก็ดี…...ก็เขาตัดสินใจแบบนั้นเองไม่ใช่หรือ
เขาหลับตาลง สดับฟังเสียงเสียดสีของใบไม้ที่ต้องลมดังประสานกับเสียงอื่น กิ่งไม้ลั่นกรอบแกรบจากการถูกเหยียบย่ำ เปลือกไม้ถูกกระเทาะจากอะไรบางอย่าง ถึงอย่างนั้นมันก็เบาเพียงพอจะตัดสินได้ว่านักล่าที่ตรงเข้ามานั้นเป็นผู้มีฝีมือ สอง..สาม..สี่ เขานับเลขในใจ ขณะที่เท้าปักหลัก การเดินทางนั้นสิ้นสุดลงแล้ว บัดนี้เขาไม่คิดจะขยับไปที่ใด
...
เสียงนั้นหยุดลงไป กลายเป็นความเงียบ เปลือกตาที่ปิดพับถูกสั่งให้ลืมเปิดขึ้น เขากลอกมันไปรอบๆตัว ดวงจันทร์แหว่งวิ่นฉายแสงเหลืองทออ่อนลอดผ่านใบไม้หนาลงมาสู่พื้น เห็นเป็นเงาตะคุ่มปกคลุมอยู่ทั่วไป
ภาพป่ารอบกายเขาไม่มีสิ่งใด…
แน่นอนว่า...นั่นเป็นเพราะการรับรู้ทางตาของเขาไม่ดีพอ
ก้อนเนื้อในหน้าอกเต้นรัวเร็วเสียจนรู้สึกเจ็บ เขาพยายามสะกดมันไว้ สูดลมหายใจเข้าลึก..ช้า….ก่อนผ่อนมันออกอย่างควบคุมได้เป็นครั้งสุดท้าย เงาไม้ขยับเคลื่อนที่อย่างรวดเร็วจากหางตาซ้าย ตัวเขาหันไปหามันตามสัญชาตญาณ เสียงพลั่กดังขึ้นขณะเขาไอรุนแรงเมื่อแรงกระแทกที่กลางท้องดันตัวเขาไปติดยังต้นไม้ด้านหลัง ศีรษะโคลงจากแรงสะท้อนจนมึนชา ภาพที่เห็นจึงดูมัวซัวไม่ชัดเจน
‘ง่ายดายแค่นี้..เห็นไหม?’ เงาหนึ่งออกเสียงแปร่งปร่าดังเข้าในหู เขานิ่วหน้าลง ต้องใช้เวลานานพอสมควรในการแปลความมัน
‘เนื้อยังตื่น’ เสียงที่ต่างดังจากอีกทางดูร้อนรนกว่า
‘ก็ทำให้หลับเสีย’
สิ้นคำ วัตถุที่เขาไม่รู้ว่าเป็นอะไรก็พุ่งเข้าสู่ใบหน้า เปลี่ยนภาพของเงาสูงใหญ่ให้กลายเป็นสีขาวสลับดำ
ร่างเขาเอียงร่วงหล่น สัมผัสแข็งและกลิ่นดินชื้นๆลอยเข้าจมูกปนกับกลิ่นเลือด ในหัวราวกับพายุที่หมุนวน
จุดจบนั้นง่ายดายเช่นนี้เอง…...
แล้วโลกทั้งใบก็ดับวูบลง
เจ็บ……..
คำนั้นกรีดร้องบอกเขาเป็นอย่างแรกเมื่อรู้ตัวตื่น มันดังราวกับฟ้าผ่าในโลกที่ยังคงมืดสนิท อาการไม่สบายตามตัวไล่ไปมาทั่วร่างราวกับไฟแผดเผา ที่แย่ที่สุดคงเป็นหัวที่มึนชา มันเจ็บร้าวไล่ลงไปตามลำคอและแผ่นหลัง แค่ขยับเพียงเล็กน้อยก็ทำให้รู้สึกปวดเกร็งจนไม่อยากทำอะไร
ความตายเป็นเช่นนี้เองหรือ?
ชั่วขณะเขารู้สึกโกรธขึ้นมา เรื่องเล่าสมัยเก่าย้อนกลับมาในห้วงความคิด เขาเคยได้ยินผู้มีอายุเก่าแก่เอ่ยตอบ ภูตพรายขับลำนำ หลังความตายนั้นงดงาม เบาสบาย ไม่มีความเจ็บปวดกล้ำกราย ไม่มีทุกข์ใด…..
ภูตพรายเป็นเผ่าโกหกโดยสันดาน ถูกกล่าวถึงดังนั้นมาแต่โบราณ…...เขาโง่เองที่เชื่อพวกนาง
ความขัดเคืองเรียกกำลังวังชา มันทำให้เขาขยับตัวอย่างอึดอัดราวกับฟืนเติมลงเชื้อไฟ เมื่อนั้นเขาจึงได้รู้สึกว่ามือของตนไม่อาจบังคับได้ดังใจ มันถูกผูกตรึงไว้ด้วยสิ่งใดบางอย่างที่รัดแน่น ยิ่งขัดขืนก็ยิ่งปวดร้าว..บาดลึกลงไป
ความตายมีพันธนาการด้วยหรือ?
ความฉงนเรียกให้เขาหันไปหาแขนของตน แต่เขามิอาจมองเห็นสิ่งใดนอกจากความมืดดำสนิทของราตรีกาล
เช่นนั้นเขาจึงลืมตา…...
ภาพหลังม่านตาหนาหนักมิใช่ผืนดินแห่งไฟ กลิ่นกำมะถันพร้อมเถ้ากระดูก หรือแสงเจิดจ้าพร้อมทุ่งหญ้าเขียวขจีล้อมรอบด้วยดอกไม้นานาพันธุ์ แต่เป็นดวงตาใสกลมโตและหูสองข้างที่กระดิกไปมา
ชั่วขณะเขาขยับตัวเพื่อจะหยิบมีดจากข้างในเสื้อคลุมตามสัญชาตญาณ แต่มือกลับถูกหยุดไว้ด้วยความรู้สึกปวดแปลบอีกครั้ง มันเตือนให้เขารู้ว่าสิ่งที่รู้สึกเมื่อครู่ไม่ใช่ความฝัน เมื่อหันไปมองจึงพบว่าแขนทั้งสองข้างถูกมัดไว้ด้วยเชือกเส้นหนา มันบาดข้อมือเสียจนมีเลือดซึม คงเป็นตอนที่เขาพยายามกระชากมันออกตอนยังไม่รู้สึกตัวดี ปลายอีกด้านของเชือกพันกับโขดหินที่ห่างออกไปไม่ไกล เรียบง่าย..ทว่าดูมั่นคงแข็งแรง
อย่างน้อยสิ่งหนึ่งก็ชัดแจ้ง….เขามิได้ตาย หากแต่อยู่ในถ้ำหินกว้างสีเทาดำ
และใช่….เขามิได้อยู่ที่นี่เพียงตนเดียว
เขาละสายตาจากมือที่ถูกพันธนาการของตนไปยังร่างที่โผล่ออกมาจากโขดหินห่างไปไม่ไกล แม้จะกระโดดหนีทิ้งระยะออกไปสักสามสี่ช่วงตัวแล้ว แต่เจ้าของหูตรงหน้าเมื่อครู่ก็ยังโผล่หัวและดวงตากลมภายใต้เส้นผมสีน้ำตาลเข้มนั้นมองมา สีหน้าตื่นเต้นราวกับกำลังดูสิ่งประหลาดน่าสนใจ
เขาจ้องตอบ เพื่อจะเห็นว่าอีกฝ่ายยังคงไม่ทำอะไรนอกจากมองกลับมาตาใสๆ หางสีเข้มแกว่งไปมาอย่างใคร่รู้ เห็นแบบนั้นแทนที่จะรู้สึกอย่างอื่น กลับทำให้เขาคิดถึงอดีตอันไกล จึงแสร้งลองขมวดคิ้วดุหนักๆเข้า ออกเสียงแฮ่ไปเสียทีนึง
เท่านั้นร่างเล็กๆก็สะดุ้งโหยง ขยับปากส่งเสียงร้องตะโกน ก่อนจะออกวิ่งไปยังทิศทางที่มีแสงอาทิตย์ลอดเข้ามา
“ท่านพ่อ มนุษย์ปลอมลืมตาแล้ว!”
เขาไม่รู้หรอกว่าอะไรกำลังจะเกิดขึ้น แต่บัดนี้รู้สึกเหมือนมุมปากแห้งผากขยับเหยียดไปเล็กน้อยเสียทีนึง
“เจ้าเป็นตัวอะไร?”
เสียงที่เอ่ยถามดังกังวาน...ทุ้มและหนักแน่น มีอำนาจอยู่ในนั้นมากพอจะบ่งบอกได้ว่าผู้พูดคงเป็นผู้มีความสำคัญและเคยชินกับการออกคำสั่งแก่ผู้คน
เขารู้สึกได้ถึงร่างกายที่สั่นเทา เมื่อเจอกับอำนาจที่เหนือตน แม้จะตัดสินใจทิ้งชีวิตแล้ว ความกลัวก็ยังคงปรากฎขึ้นอยู่นั่นเอง ให้เมื่อรับรู้ก็ได้แต่นึกสมเพชตัวเองในใจ
เขาหายใจเข้าลึก...ทบทวนความคิด....ข้าตั้งใจจะตายมิใช่หรือ ตั้งใจขนาดนั้นแล้วควรกลัวอะไร…. เขาเอ่ยบอกตนเองซ้ำไปมาราวมนต์สะกด และยึดมันเป็นแรงเหนี่ยวก่อนจะเงยหน้าขึ้นมอง สบเข้ากับดวงตาสีทองที่จ้องตรงมา
“เจ้าไม่ใช่มนุษย์ เป็นตัวอะไร?” น้ำเสียงเร่งเร้าถามดุดันยิ่งขึ้นเมื่อต้องเอ่ยเป็นคำรบสอง คิ้วหนาคู่นั้นขมวดลงขับให้ใบหน้าเข้มยิ่งดูน่าเกรงขาม สันกรามแข็งแกร่งดึงริมฝีปากให้เรียบสนิท เมื่อรวมกับแววตาดุกร้าวก็สะกดเรียกความหวาดหวั่นของผู้พบเห็นให้ตื่นขึ้นมา แม้อีกฝ่ายจะไม่ได้ขยับตัวแม้แต่นิ้วสักนิ้วเดียว
รวมถึงหูหรือหางสีเข้มนั่นด้วย
แต่มันไม่สลักสำคัญหรอก คำถามนั้นต่างหาก….
“เจ้า…..รู้ได้อย่างไรว่าข้าไม่ใช่มนุษย์?” เสียงที่ออกจากปากเขาแหบแห้ง บ่งบอกว่าคงไม่มีน้ำสักหยดล่วงผ่านลำคอมานานพอสมควรแล้ว
“กลิ่นเลือดของเจ้าไม่ใช่ของมนุษย์” อีกฝ่ายตอบกลับง่ายดาย “มีกลิ่นที่ข้ารู้จักคุ้นเคย แต่มันปนเปวุ่นวาย เพราะฉะนั้นจงตอบมาเสียตัวประหลาด เจ้าเป็นสิ่งใด?”
ตัวประหลาด…..เขาทวนคำนั้นในใจ รู้สึกเหมือนแผลลึกภายในถูกกรีดลงซ้ำ คำเก่าที่คิดว่าได้ยิน..จนด้านชา...ยังทำให้เจ็บปวดจนน่าขัน
เขาหยุดนิ่ง...เพียงครู่เดียว...ตามด้วยการผงกศีรษะขึ้นลงเป็นการตอบรับ “ข้าเป็นเสี้ยว…..หนึ่งในนั้นคือหมาป่า” เขาตอบอย่างไม่ปิดบัง อันที่จริงการทำเช่นนั้นไม่ใช่สิ่งจำเป็น คำตอบเรื่องนี้ชัดเจนอยู่แล้ว และเขารู้ว่าผู้ที่ยืนอยู่ย่อมทราบ กลิ่นของทุกอย่างเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว โดยเฉพาะกับเผ่าหมาป่าที่มีความสามารถสูงในการแยกแยะมัน
หรือถึงไม่ใช่…..คำพูดสื่อสารของพวกเขาย่อมบ่งบอกตัวมันเอง
ภาษาของหมาป่า….เรียนรู้ด้วยสัญชาตญาณแต่กำเนิด บ่งบอกถึงเผ่าพันธุ์ แม้เขาไม่ได้ใช้นาน เนื่องจากไม่มีผู้ที่จะได้ใช้สนทนาด้วยจนเกือบลืมสิ้น หากแต่ถึงจะทิ้งร้างไป มันยังคงสลักในเลือดเนื้อ เด่นชัดในความทรงจำ
ยังย้ำอยู่ว่าเขาเป็นส่วนเสี้ยวของสิ่งมากมาย เป็นตัวประหลาดที่ไม่อาจอยู่ร่วมกับผู้ใด…..
ความเงียบกัดกินเวลาหลังคำตอบของเขา แต่เพียงไม่นานนัก เพราะผู้ยืนอยู่เหนือร่างเขาเอ่ยด้วยเสียงหนักแน่นกังวาน
“มอคเชร่าไม่ทำร้ายหมาป่าด้วยกัน เจ้าไม่ใช่เนื้อที่เราจะกิน” ร่างสูงเลื่อนมือขึ้นมากอดไว้ที่อก สายตาพินิจมองลงมา สีทองประกายคู่นั้นไม่ได้ทำให้สั่นกลัวเหมือนทีแรก แต่ยังคงความน่าเกรงขามไม่เปลี่ยน “มอคเชร่ากับหมาป่าล้วนเป็นมิตรกันยาวนาน ข้าจะทำตามประเพณี แต่จงรู้….ข้าจะดูไว้ หากเจ้าเป็นภัยต่อเผ่า ข้าจะฉีกเนื้อเจ้าด้วยตนเอง จำคำนี้เอาไว้ให้ดี”
เขากำลังจะพยักหน้ารับเมื่อร่างนั้นขยับเข้ามาใกล้ เงื้อกรงเล็บขึ้นเหนือตัวเขาก่อนจะตวัดมันลงมา
...
แขนทั้งสองข้างตกลงมาอยู่ข้างลำตัว ไร้ซึ่งเชือกที่ผูกรั้งไว้แล้ว เขาจึงได้ขยับมือที่เป็นอิสระของตนเอง
“ขอบคุณ…..” ใช้เวลาครู่ใหญ่กว่าเขาจะหาคำพูดตนเองเจอ
ร่างสูงใหญ่เพียงมองเขาด้วยหางตา ก่อนจะหันหลังเดินออกไปทางปากถ้ำ เขามองตามหางฟูๆสีเข้มจนเกือบดำที่แกว่งไกวเบาๆตามจังหวะการเดิน และเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอเหม่อไปเมื่อเสียงของอีกฝ่ายดังขึ้นอีกครั้ง
“ตัวประหลาด เจ้าเรียกตนว่าอะไร?” น้ำเสียงนั้นยังคงดุ อาจจะเพราะรู้ว่าเมื่อครู่เขากำลังมองอะไร
เขากลืนน้ำลายลงคอ…..คิดคำนวณบางอย่างในใจ เขาอาจตอบไปว่าเขาทิ้งชื่อไปแล้ว เพราะนานเหลือเกินที่ไม่มีใครเอ่ยมัน แต่ทำแบบนั้นก็ไม่มีประโยชน์อันใด
“ไอริเทช”
หมาป่าเพียงพยักหน้า...เล็กน้อย แล้วสาวเท้าออกไป ทิ้งเขาไว้ลำพังในถ้ำหินเยียบเย็น
มันจะมีต่อใช่มั้ย ใช่มั้ย ใช่มั้ยยยยยยยยยย /เขย่าบล็อกรัวๆเผื่อมันจะหลุดตอนใหม่ออกมา
ตอบลบนั่นสินะ....../เหม่อ
ลบจะมีต่อใช่ไหมคะพี่เกดดดดดดดด/ ปูเสื่อรออออ
ตอบลบไอริเทชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชชช
ตอบลบเอาตอนต่อมานะ เอามานะๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ; [] ; !!!!!!